ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือที่เรียกกันว่า PM 2.5 เป็นหนึ่งในมลพิษทางอากาศที่มีอันตรายสูงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ การสูดดม PM 2.5 ในระยะยาวสามารถกระตุ้นให้เกิด "โรคหลอดลมอักเสบ" ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตลดลงและในบางกรณีอาจถึงขั้นเสียชีวิต
แหล่งกำเนิดของ PM 2.5 มีหลากหลาย ทั้งจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง เช่น การขนส่งทางถนน โรงงานอุตสาหกรรม การเผาขยะ หรือแม้กระทั่งการเผาป่าในพื้นที่ชนบท ฝุ่นเหล่านี้สามารถลอยอยู่ในอากาศได้เป็นเวลานานและแพร่กระจายได้ไกลจากแหล่งกำเนิด
- รู้จักภาวะ "กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากไวรัส" ในเด็ก สาเหตุ-วิธีป้องกัน
- ภัยเงียบออฟฟิศ "Boreout" ความเบื่อหน่ายคุกคามสุขภาพจิตคน
กลไกการเกิดหลอดลมอักเสบจาก PM 2.5
PM 2.5 มีผลกระทบโดยตรงต่อระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากฝุ่นละอองชนิดนี้สามารถเข้าสู่หลอดลมและก่อให้เกิดการอักเสบในเนื้อเยื่อที่บุผิวหลอดลม นอกจากนี้ ฝุ่นละอองยังสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ตอบสนองมากเกินไป ส่งผลให้เกิดการหลั่งสารเคมีที่ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- ไอเรื้อรัง เกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีเสมหะ
- เจ็บคอ รู้สึกแสบร้อนหรือคันคอ
- หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย หายใจติดขัด
- แน่นหน้าอก รู้สึกอึดอัดบริเวณหน้าอก
- เสียงแหบแห้งเปลี่ยนไปจากปกติ
กลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดหลอดลมอักเสบจาก PM 2.5
- เด็กเพราะมีระบบทางเดินหายใจที่ยังไม่แข็งแรง จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินหายใจได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่
- ผู้สูงอายุมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่า จึงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย
- ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จะมีอาการแย่ลงเมื่อสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5
- ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง จะได้รับฝุ่น PM 2.5 ในปริมาณที่สูงกว่าคนทั่วไป
ในผู้ป่วยที่สัมผัส PM 2.5 ในปริมาณสูงและต่อเนื่อง หลอดลมอักเสบเรื้อรังอาจพัฒนาเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ซึ่งเป็นภาวะที่หลอดลมตีบและมีการทำงานของปอดลดลงอย่างถาวร นอกจากนี้ การอักเสบในหลอดลมยังทำให้มีการหลั่งเสมหะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการไอ หายใจลำบาก และแน่นหน้าอก
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขในปี 2566 พบว่าในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูง เช่น กรุงเทพมหานคร หรือ เชียงใหม่ อัตราผู้ป่วยหลอดลมอักเสบเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากนี้ โรงพยาบาลรัฐหลายแห่งรายงานว่ามีผู้ป่วยหลอดลมอักเสบเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้นกว่า 15,000 รายในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าฝุ่น PM 2.5 สูงสุด
นอกจากนี้ PM 2.5 ไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่หลอดลมอักเสบ แต่ยังเกี่ยวข้องกับโรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ เช่น โรคหอบหืด โรคปอดบวม และโรคหัวใจขาดเลือด โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว การสัมผัส PM 2.5 เป็นระยะเวลานานสามารถลดอายุขัยเฉลี่ยและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคเรื้อรัง
ป้องกันหลอดลมอักเสบจาก PM 2.5 ได้ทางไหนบ้าง
- ตรวจสอบคุณภาพอากาศ โดยการใช้แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่รายงานค่าฝุ่น PM 2.5 หากพบว่าค่าฝุ่นสูง ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง
- สวมหน้ากากป้องกัน ให้เลือกใช้หน้ากาก N95 หรือหน้ากากที่สามารถกรอง PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในบ้านหรือที่ทำงาน ควรมีเครื่องฟอกอากาศที่มีฟิลเตอร์ HEPA เพื่อช่วยลดปริมาณฝุ่นในอากาศ ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่น PM 2.5 เข้ามาในบ้าน
- เสริมสร้างสุขภาพปอด ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการเลี่ยงสารระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดหลอดลมอักเสบได้
- ดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้หลอดลมชุ่มชื้นและขับสารพิษออกจากร่างกาย
- พบแพทย์ หากมีอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
ที่มา : กรมควบคุมมลพิษ, องค์การอนามัยโลก, กระทรวงสาธารณสุข
อ่านข่าวอื่น :
"ชัชชาติ" ชี้กทม.จมฝุ่นถึง 13 ม.ค.นี้ อากาศปิด-เผาพื้นที่เกษตร
เตือน 6-10 ม.ค.นี้ ลมหนาวมา "ฝุ่นจิ๋ว" พุ่งแจ้ง 15 จังหวัดงดเผา
กทม.จมฝุ่น PM 2.5 เช้านี้เกินมาตรฐานทุกพื้นที่ ระดับสีแดง 3 เขต