ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ข้อเท็จจริงสวนทางกับคำพูด! 1 เดือนกับ 13 เรื่องลวงของ "ทรัมป์"

ต่างประเทศ
20 ก.พ. 68
20:22
419
Logo Thai PBS
ข้อเท็จจริงสวนทางกับคำพูด! 1 เดือนกับ 13 เรื่องลวงของ "ทรัมป์"
อ่านให้ฟัง
14:44อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ตั้งแต่กลับสู่ทำเนียบขาวได้ 1 เดือนพอดี "ปธน.ทรัมป์" ได้พูดถึงหลายประเด็นที่สร้างกระแสในสังคม ทั้งเรื่องภาษี การเลือกตั้ง และนโยบายต่างประเทศ แต่เมื่อถูกนำไปตรวจสอบ กลับพบว่าหลายคำกล่าวของเขาอาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริง นี่คือ 13 เรื่องที่ถูกตั้งคำถาม

วันนี้ (20 ก.พ.2568) CNN รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เพียงแต่กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวด้วยความเร็วที่น่าตกใจ แต่ยังโกหกด้วยความเร็วสูงไม่แพ้กัน ภายในเวลา 1 เดือนหลังเข้ารับตำแหน่ง ปธน.คนที่ 47 สหรัฐฯ เขากลับมาใช้กลยุทธ์เดิม พูดซ้ำคำโกหกเดิม ๆ ปั้นเรื่องใหม่ ๆ แล้วปลุกระดมฐานเสียงด้วยข้อมูลที่บิดเบือน ซึ่งทำให้สหรัฐฯ ตกอยู่ในวังวนของข่าวปลอมอีกครั้ง CNN ได้รวบรวม 13 คำโกหกที่ทรัมป์ได้เผยแพร่สู่สาธารณชนตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค.2568

1. ถุงยางอนามัย 100 ล้านดอลลาร์สำหรับฮามาส

ทรัมป์เริ่มต้นด้วยการกล่าวอ้างว่า เขาได้ยุติการใช้ภาษีของประชาชนอเมริกันจำนวน 50 ล้านดอลลาร์ ในโครงการแจกถุงยางอนามัยในกาซาผ่าน USAID และในวันต่อมาเขาเพิ่มตัวเลขเป็น 100 ล้านดอลลาร์ และกล่าวหาว่าถุงยางเหล่านี้มีไว้สำหรับ "ฮามาส" 

แต่ในข้อเท็จจริงคือ การกล่าวอ้างของเขา ไม่มีหลักฐานว่าสหรัฐฯ บริจาคเงินในโครงการคุมกำเนิดและการดูแลสุขภาพสืบพันธุ์ในตะวันออกกลางเลย และข้อมูลเมื่อ 3 ปีก่อนในรัฐบาลของ โจ ไบเดน พบว่าก็ไม่มีการจัดตั้งงบประมาณสำหรับแจกถุงยางอนามัยให้กาซา แต่มีคำสั่งซื้อยาคุมให้จอร์เจีย ซึ่งใช้งบประมาณเพียงแค่ 46,000 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น และมีสื่อต่างประเทศหลายสำนักตั้งคำถามว่า หรือทรัมป์อาจจะส่งไปอีกกาซาหนึ่ง เพราะที่ประเทศโมซัมบิก ก็มีเมืองที่ชื่อว่า "กาซา" เช่นกันและอยู่ห่างจาก กาซา ที่กำลังสู้รบกับอิสราเอล 6,000 กม. 

2. ยูเครนเป็นฝ่ายเริ่มสงคราม

รัสเซียเปิดฉากบุกยูเครนในปี 2565 ฆ่าผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วน ทำลายบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐานไปมหาศาล ข้อนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจนและไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ทรัมป์ยังเลือกจะพลิกความจริงกลับด้าน

เมื่อเขาถูกถามเกี่ยวกับการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียเกี่ยวกับการยุติสงคราม ปธน.สหรัฐฯ กลับตอบว่า "ยูเครนควรจะทำข้อตกลงตั้งแต่ต้นแทนที่จะเริ่มสงคราม" คำพูดนี้เป็นโฆษณาชวนเชื่อที่ตรงกับแนวทางของปูตินแบบไม่มีผิดเพี้ยน และเป็นการหักหลังพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ที่ต้องต่อสู้เพื่ออิสรภาพของตัวเอง

3. "สหรัฐฯ" คือประเทศเดียวที่มี "พลเมืองโดยกำเนิด"

ทรัมป์พยายามทำให้ข้อเสนอของเขาที่จะยกเลิก "สิทธิพลเมืองโดยกำเนิด" ดูสมเหตุสมผล ด้วยการอ้างว่า "ไม่มีประเทศไหนในโลก ที่มีนโยบายแบบนี้ ยกเว้นสหรัฐฯ" ซึ่งเป็นเรื่องโกหกอย่างสิ้นเชิง ในความเป็นจริงมีหลายสิบประเทศ รวมถึงแคนาดา เม็กซิโก และอีกหลายประเทศในละตินอเมริกา ที่มีระบบเดียวกันนี้มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว

คำกล่าวนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์พูด เขาเคยพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2561 และแม้ว่าจะถูกสื่อจับโป๊ะได้หลายครั้ง เขาก็ยังพูดซ้ำ ๆ โดยหวังว่าผู้สนับสนุนของเขาจะเชื่อ

4. เปลี่ยนผู้ก่อจลาจล 6 ม.ค. ให้กลายเป็น "เหยื่อ"

ทรัมป์พยายามล้างประวัติศาสตร์ใหม่ โดยกล่าวว่าเขาให้ "อภัยโทษ" แก่กลุ่มคนที่โจมตีตำรวจและบุกอาคารรัฐสภาในวันที่ 6 ม.ค.2564 ว่าพวกเขาเป็น "เหยื่อของรัฐบาลไบเดน" ทรัมป์ยังบอกอีกว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้ทำร้ายใคร แต่พวกเขาต่างหากที่ถูกทำร้าย

ซึ่งเป็นคำกล่าวอ้างที่สวนทางกับหลักฐานทุกชิ้น วิดีโอที่ถูกบันทึกเหตุการณ์ในวันนั้นแสดงให้เห็นว่า กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ จงใจทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจนบาดเจ็บสาหัส กระทรวงยุติธรรมยืนยันว่า มีเจ้าหน้าที่ถูกโจมตีมากกว่า 140 นาย และมีผู้ก่อเหตุยอมรับผิดกว่า 170 คนแล้ว แต่ทรัมป์ก็ยังบิดเบือนว่าเป็นเรื่องสมรู้ร่วมคิดของรัฐบาลไบเดน

5. อ้างไฟป่า L.A. เกิดจากการ "ช่วยปลา"

ในขณะที่รัฐแคลิฟอร์เนียต้องเผชิญกับไฟป่าครั้งใหญ่ ทรัมป์กลับหันเหความสนใจจากภาวะโลกร้อน ไปที่ข้ออ้างที่หลายคนต้องขมวดคิ้ว เมื่อเขากล่าวว่ารัฐสูญเสียน้ำไปเพื่อปกป้องปลาสายพันธุ์หนึ่งในภาคเหนือของสหรัฐฯ ทำให้ไม่มีน้ำเพียงพอสำหรับดับไฟ

แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและนักดับเพลิงออกมาปฏิเสธทันที ว่าการบริหารจัดการน้ำสำหรับระบบนิเวศไม่มีผลกระทบต่อการควบคุมไฟป่า ทรัมป์เพียงแค่ใช้เรื่องนี้เพื่อโจมตีรัฐบาลแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต นักวิเคราะห์มองว่านี่คือกลยุทธ์เดิม ๆ ของเขา ที่มักโยนข้อกล่าวหาที่ไร้หลักฐานให้เกิดกระแส แล้วปล่อยให้ความสับสนแพร่กระจาย

6. ถูกขโมยชัยชนะการเลือกตั้งปี 2563 

แม้จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีในปี 2568 แล้ว แต่ทรัมป์ก็ยังไม่ปล่อยวางกับวาทกรรมเดิม เกี่ยวกับการเลือกตั้งปี 2563 ที่เขาแพ้ให้กับ "โจ ไบเดน" เขายังคงกล่าวอ้างว่ามี "การโกงคะแนนเสียง" และถือเป็น "การทุจริตครั้งใหญ่" แม้ว่าศาลกว่า 60 แห่ง จะปฏิเสธคำร้องเรียนของเขาทั้งหมด รวมถึงกระทรวงยุติธรรมภายใต้การนำของตัวเขาเองในปี 2563 ก็ยืนยันว่าการเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม

คำโกหกนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ผลกระทบทางการเมือง แต่มันกลับกลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดการโจมตีรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค.2564 ทว่าทรัมป์กลับไม่คิดว่านั่นคือความคิดที่ไม่ถูกต้อง และยังใช้มันเป็นเครื่องมือทางการเมืองต่อไป

7. นักมวยหญิงโอลิมปิกเป็น "ชายแปลงเพศ"

ทรัมป์มักใช้ประเด็นเกี่ยวกับคนข้ามเพศเป็นเครื่องมือทางการเมืองเสมอ และเขายกระดับไปอีกเมื่อกล่าวว่ามีนักมวยหญิง 2 คน ที่ชนะเหรียญทองในโอลิมปิก 2024 เป็น "ชายที่แปลงเพศมาแข่งในประเภทหญิง"

เรื่องนี้ถูกพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องโกหกโดยคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) และสหพันธ์มวยสากล ทั้ง 2 นักกีฬาเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่เกิดและแข่งขันในกีฬาหญิงมาโดยตลอด แม้แต่หน่วยงานที่มีปัญหากับนักกีฬาหญิงเหล่านี้ ก็ยังไม่เคยกล่าวหาว่าพวกเธอเป็นคนข้ามเพศ นี่เป็นอีกตัวอย่างของการพูดเรื่องเท็จเพื่อปลุกระดมฐานเสียงอนุรักษนิยมของทรัมป์

8. อ้างแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ

ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์กล่าวว่า "ชาวแคนาดาชอบแนวคิดที่ว่า แคนาดาจะเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา" ซึ่งเป็นเรื่องโกหกที่คนแคนาดาทุกคนถึงกับส่ายหน้า หลังจากนั้น เขายังคงปั้นเรื่องเกี่ยวกับแคนาดาอีกโดยอ้างว่า "รัฐบาลแคนาดาห้ามธนาคารสหรัฐฯ จากการทำธุรกิจในประเทศ" ซึ่งคำกล่าวอ้างนี้ไม่เป็นความจริงแม้แต่นิดเดียว

ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan Chase, Citibank และ Bank of America ดำเนินธุรกิจในแคนาดามานานหลายปีแล้ว แต่ทรัมป์เพียงแค่ต้องการสร้างภาพให้แคนาดาดูเป็นศัตรูต่อเศรษฐกิจอเมริกัน ทั้งที่ในความเป็นจริง 2 ประเทศนี้เป็นคู่ค้าสำคัญซึ่งกันและกันเท่านั้น

ที่มา : Instagram Realdonaldtrump

ที่มา : Instagram Realdonaldtrump

ที่มา : Instagram Realdonaldtrump

9. โทษ "ไบเดน" เรื่องนโยบายการบินที่เริ่มในสมัยตัวเอง

หลังเกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ทหารชนกับเครื่องบินโดยสาร เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ทรัมป์ไม่รอช้าที่จะโทษฝ่ายบริหารของไบเดน โดยเขากล่าวว่า "นโยบายความหลากหลายของ FAA เป็นตัวการของโศกนาฏกรรมครั้งนี้" พร้อมทั้งอ้างว่า ไบเดน จ้างคนพิการเป็นผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศ ซึ่งคำกล่าวหานี้เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เพราะโครงการจ้างงานสำหรับผู้พิการที่ทรัมป์พูดถึงนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลาภายใต้รัฐบาลของทรัมป์เอง 

10. บิดเบือนเรื่องภาษีศุลกากรว่า "จีนเป็นคนจ่าย"

ทรัมป์มักโอ้อวดว่า ภาษีศุลกากรที่เขากำหนดกับสินค้านำเข้าจากจีนคือ "เงินจากจีนที่ไหลเข้าสู่กระเป๋าอเมริกัน" แต่ในความเป็นจริง ภาษีศุลกากรไม่ได้เป็นเงินที่จีนต้องจ่ายให้สหรัฐฯ ตรง ๆ แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้นำเข้าสินค้าชาวอเมริกันต้องแบกรับแทน การศึกษาจากคณะกรรมการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ และองค์กรเศรษฐศาสตร์ชั้นนำหลายแห่ง ยืนยันว่า ผู้บริโภคและธุรกิจในสหรัฐฯ เป็นฝ่ายรับภาระต้นทุนของภาษีที่สูงขึ้น "ไม่ใช่รัฐบาลจีน"

อันที่จริง สงครามการค้าของทรัมป์ ต่างหากที่เป็นตัวการทำให้ต้นทุนสินค้าพุ่งขึ้น และบริษัทอเมริกันจำนวนมากต้องลดต้นทุนด้วยการขึ้นราคาสินค้าให้ผู้บริโภค การศึกษาชี้ว่า ผู้บริโภคสหรัฐฯ แบกรับภาระภาษีศุลกากรกว่าร้อยละ 90 นอกจากนี้ นโยบายภาษีของทรัมป์ 2.0 ยังส่งผลให้ธุรกิจอเมริกันหลายแห่งต้องเลิกจ้างพนักงานหรือลดการผลิตเพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 

11. สร้างความตื่นตระหนกเรื่องอัตราการเกิดออทิสติก

ทรัมป์เป็น 1 ในนักการเมืองที่พยายามโยงเรื่องการฉีกวัคซีนเข้ากับผู้ป่วยอาการออทิสติก มานานหลายปีแล้ว และแม้ว่าแนวคิดนี้จะถูกหักล้างทางวิทยาศาสตร์ แต่ ปธน.สหรัฐฯ คนนี้ยังคงจุดประเด็นนี้ขึ้นมาใหม่อยู่เรื่อย ๆ ล่าสุดในเดือน ก.พ. เขาโพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า "เมื่อ 20 ปีก่อน อัตราออทิสติกในเด็กอยู่ที่ 1 ใน 10,000 แต่ตอนนี้อยู่ที่ 1 ใน 34 อะไรมันจะผิดปกติขนาดนี้!" และแน่นอนว่า ข้อความนี้สร้างกระแสตื่นตระหนกในหมู่ผู้สนับสนุนของเขา

แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลจริง ๆ พบว่า ทรัมป์บิดเบือนสถิติอย่างร้ายแรง ตามรายงานของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ (CDC) อัตราการเกิดออทิสติกในปี 2547 อยู่ที่ 1 ใน 125 ไม่ใช่ 1 ใน 10,000 อย่างที่ทรัมป์อ้าง และตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจนถึง 1 ใน 36 ในปี 2563 ส่วนใหญ่เป็นเพราะวิธีการวินิจฉัยที่ดีขึ้น รวมถึงการตระหนักรู้ของผู้ปกครองและแพทย์ ซึ่งไม่ใช่สิ่งผิดปกติแต่อย่าใด 

ที่มา : X Donald J.Trump

ที่มา : X Donald J.Trump

ที่มา : X Donald J.Trump

12. จีนจะยึดคลองปานามา ทั้งที่เป็นของปานามา

ในสุนทรพจน์รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา ทรัมป์ประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า "จีนกำลังควบคุมคลองปานามา และสหรัฐอเมริกาจะนำมันกลับมา" คำพูดนี้ฟังดูเร้าใจ แต่ไม่มีมูลความจริงแม้แต่นิดเดียว

ความจริงคือ คลองปานามาอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลปานามามาตั้งแต่ปี 2542 หลังจากสหรัฐฯ โอนสิทธิ์ความเป็นเจ้าของให้กับปานามาตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ถึงแม้ว่าจีนจะมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ แต่พวกเขาไม่ได้ "ควบคุมหรือยึดครอง" คลองดังที่ทรัมป์อ้าง และในความเป็นจริง แม้แต่รัฐบาลปานามาเองก็ออกมาแถลงว่า คลองปานามายังคงอยู่ภายใต้การบริหารของพวกเขาเอง และไม่มีประเทศอื่นใดเข้ามาควบคุม 

13. ปั้นตัวเลขปลอมว่า "ชนะคะแนนเสียงวัยรุ่น" ทั้งที่แพ้

หลังจากชัยชนะของเขาในการเลือกตั้งปี 2567 ทรัมป์พูดอย่างภาคภูมิใจว่า "ผมชนะคะแนนเสียงวัยรุ่นด้วยคะแนนนำ 36 คะแนน"

แต่ข้อเท็จจริงจากผลสำรวจหลังเลือกตั้ง (exit polls) กลับชี้ตรงกันข้าม เขาแพ้คะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งอายุต่ำกว่า 30 ปี ให้กับคามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต แม้ว่าทรัมป์จะทำคะแนนได้ดีขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่มากกว่าปี 2563 แต่เขาก็ไม่ได้ "ชนะถล่มทลาย" อย่างที่เขาอ้าง และคะแนนที่นำห่างถึง 36 คะแนน ก็ไม่มีผลสำรวจใดระบุถึงตัวเลขนี้เลย เขาใช้ตัวเลขปลอมเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ของตัวเอง และหวังให้สื่อมวลชนและประชาชนหลงเชื่อ ทั้งที่หลักฐานทั้งหมดชี้ไปในทางตรงกันข้าม

อ่านข่าวอื่น :

"ทรัมป์" ตราหน้า "เซเลนสกี" เผด็จการ-ล้มเหลวบริหารประเทศ

"คืนร่างไร้ลมหายใจ" ฮามาสส่ง 4 ศพตัวประกันชาวอิสราเอล

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง