ความโกรธจากตู้กับข้าว
วันนี้ (24 มี.ค.2568) มอยยา โอซัลลิแวน ครูสาวชาวไอริช วัย 29 ปี จากเมืองคิลเคนนี ทางตอนใต้ของไอร์แลนด์ เธอเล่าว่า เธอใช้ชีวิตประจำวันแบบคนทั่วไป แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเธอเปิดตู้กับข้าวในครัว และ ห้องน้ำของตัวเอง สิ่งที่เธอเห็นคือสินค้าอเมริกันเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นครีมชีสยี่ห้อดังจากสหรัฐฯ, ขนมคุ้กกี้, ยาสีฟัน, น้ำยาบ้วนปาก, วิสกี้ และน้ำอัดลม เธอรู้สึกเหมือนถูก "บุกรุก" โดยสินค้าจากชาติที่เธอเริ่มรู้สึกต่อต้าน
ฉันตัดสินใจทันทีเลยว่า จะไม่ซื้อของพวกนี้อีกต่อไป
เธอบอกกับ CNN ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ความไม่พอใจของเธอมาจากผลการเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ ที่มีผู้ลงคะแนน 77 ล้านคน เลือกให้ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาครองตำแหน่งอีกครั้ง มันน่าผิดหวังมากที่ครึ่งหนึ่งของอเมริกาเลือกเขา อเมริกาไม่เรียนรู้บทเรียนจากครั้งแรกเลย ต้องมีผลที่ตามมา เธอกล่าว การตัดสินใจของเธอไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแบรนด์สินค้า แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายและตัวตนของทรัมป์ ที่เธอมองว่าไม่สอดคล้องกับค่านิยมของครูสาวชาวไอริชรายนี้

ไม่ใช่แค่ มอยยา เท่านั้นที่รู้สึกแบบนี้ เจมส์ แบล็คเลดจ์ วัย 33 ปี บุรุษไปรษณีย์จากเมืองบริสตอล ประเทศอังกฤษ ก็ยอมรับกับ CNN ว่าเป็น เขาคนชอบกินมายองเนสตัวยง แต่เมื่อรู้ว่ายี่ห้อที่เขาชอบเป็นแบรนด์อเมริกัน เขาก็เลิกซื้อทันที
ผมยอมซื้อเครื่องปั่นเล็ก ๆ มาทำมายองเนสเอง แล้วมันก็ง่ายกว่าที่คิด
แม้จะต้องจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อสินค้าท้องถิ่น เขายังเลิกซื้อกาแฟจากร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดังที่มาสาขาไปทั่วโลก ที่เคยเป็นของโปรด รวมถึงเบียร์ที่เขาชอบดื่มเป็นประจำ เขาเล่าต่อว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่องรสนิยมส่วนตัว แต่เป็นการแสดงออกถึงจุดยืนทางการเมืองที่เริ่มแพร่กระจายในหมู่คนรอบตัวเขา แม้จะต้องเสียสละความสะดวกสบายบ้าง แต่เจมส์และเพื่อนๆ มองว่านี่คือวิธีที่พวกเขาจะมีส่วนร่วมในการต่อต้านทรัมป์ได้ แบบที่ไม่ต้องออกไปชุมนุมบนถนน

"สงครามการค้า" ทรัมป์จุดไฟ ยุโรปตอบโต้
ทุกอย่างเริ่มร้อนระอุเมื่อทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก รวมถึงจากสหภาพยุโรป (EU) เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย "ภาษีตอบโต้" ที่เขาหาเสียงไว้ สินค้าที่จะได้รับผลกระทบมีตั้งแต่เหล็ก รถยนต์ ไปจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป
EU ไม่ยอมอยู่นิ่ง เตรียมตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าอเมริกัน เช่น วิสกี้ รถมอเตอร์ไซค์ เบียร์ เนื้อไก่ เนื้อวัว และพืชผลอย่างถั่วเหลือง มะเขือเทศ และราสเบอร์รี การเผชิญหน้ากันครั้งนี้จุดชนวนให้เกิด "ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ" ในยุโรป มอยยาและเจมส์กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระแสนี้ โดยใช้เงินในกระเป๋าของตัวเองเป็นอาวุธต่อสู้กับนโยบายของทรัมป์
ขณะที่ผู้นำยุโรปพยายามเจรจากับทรัมป์เพื่อลดความเสียหายจากสงครามการค้า แต่สำหรับประชาชนบางส่วน การคว่ำบาตรสินค้าอเมริกัน คือ วิธีที่พวกเขาจะแสดงพลังได้โดยตรง โดยไม่ต้องรอการตัดสินใจจากรัฐบาล
ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน ตอนที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้งครั้งแรก ชาวยุโรปออกมาประท้วงกันเต็มถนน ด้วยความโกรธและความหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ครั้งนี้ บรรยากาศต่างออกไป โซอี การ์ดเนอร์ โฆษกของกลุ่ม Stop Trump Coalition ในอังกฤษ บอกว่าผู้คนรู้สึกเหนื่อยล้าและหมดหวังมากขึ้น ความมั่นใจในการต่อต้านลดลง หลังจากเห็นว่าการประท้วงครั้งก่อนไม่ได้หยุดทรัมป์จากการกลับมา
ครั้งแรก ผู้คนโกรธและคิดว่าสามารถต่อสู้แล้วชนะได้ แต่ตอนนี้ หลายคนรู้สึกพ่ายแพ้
มอยยาเองก็ยอมรับว่าครั้งนี้คนเหนื่อยกันมาก แต่ถึงอย่างนั้นเธอและคนอื่น ๆ ที่ยังสู้ต่อ เพียงแต่เลือกวิธีที่เงียบกว่า นั่นคือการแบนสินค้าอเมริกันจากชีวิตประจำวัน การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ดังเท่าการชุมนุม แต่เป็นการแสดงออกที่ลึกซึ้งและส่วนตัวมากขึ้น

แล้วการคว่ำบาตรจะได้ผลจริงไหม ?
คำถามใหญ่คือ การคว่ำบาตรแบบนี้ได้ผลจริงหรือ ? ในอดีต ยุโรปเคยมีการแบนสินค้าที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียและอิสราเอลหลังสงครามในยูเครนและกาซา ซึ่งได้ผลบ้างในการกดดันให้บางบริษัทตัดความสัมพันธ์กับประเทศเหล่านั้น งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเมื่อปี 2559 พบว่า ในสหรัฐฯ ผู้บริโภคลดการซื้อสินค้าแบรนด์ที่ "ฟังดูเป็นฝรั่งเศส" หลังความขัดแย้งเรื่องสงครามอิรักกับฝรั่งเศส แม้จะไม่กระทบยอดขายมาก แต่ชื่อเสียงของแบรนด์เสียหายได้
การศึกษาในสหรัฐฯ ระหว่างปี 2533-2548 ก็พบว่า การคว่ำบาตรอาจไม่ทำร้ายกำไร แต่ส่งผลต่อภาพลักษณ์แน่นอน มอยยาเองก็เข้าใจดีว่าถึงจะไม่เปลี่ยนอะไร แต่ก็ไม่อยากให้เงินส่วนตัวไปหนุนเศรษฐกิจของทรัมป์ สำหรับเธอ การแบนครั้งนี้เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีและจุดยืนมากกว่าผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ

เดนมาร์กนำร่อง "ป้ายดาวยุโรป"
ในเดนมาร์ก กระแสนี้เริ่มชัดเจนขึ้น Salling Group ร้านค้าปลีกใหญ่ที่สุดของประเทศ เริ่มติดป้ายดาวสีดำบนฉลากสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อบอกว่าสินค้านั้นผลิตในยุโรป การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังทรัมป์ขู่จะผนวกกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก เข้ากับสหรัฐฯ
ทำให้ชาวเดนมาร์กโกรธจัด Anders Hagh ซีอีโอของ Salling Group เขียนบน LinkedIn ว่าลูกค้าถามหาสินค้ายุโรปเยอะมากช่วงนี้ และย้ำว่าร้านยังคงขายสินค้าจากทั่วโลก แต่การติดป้ายช่วยให้ลูกค้าเลือกได้ตามใจ การเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่การแบนโดยตรง แต่เป็นการสนับสนุนทางอ้อมให้คนหันมาซื้อสินค้ายุโรป และอาจเป็นต้นแบบให้ร้านค้าอื่นในภูมิภาคทำตาม
ส่วนโลกออนไลน์ กลายเป็นสนามรบใหม่ของการคว่ำบาตรนี้ บน Facebook กลุ่มในสวีเดนที่เรียกร้องให้แบนสินค้าอเมริกันมีสมาชิกถึง 81,000 คน ขณะที่กลุ่มในเดนมาร์กมี 90,000 คน ทุกชั่วโมงมีคนโพสต์ถามว่า สินค้าอย่างอาหารสุนัข โซดา ชีส หรือช็อกโกแลตที่ใช้อยู่มาจากสหรัฐฯ หรือไม่ พร้อมแชร์ทางเลือกที่เป็นแบรนด์ยุโรปหรือท้องถิ่น
กระแสนี้แสดงให้เห็นว่าความโกรธต่อทรัมป์ไม่ได้จำกัดแค่คน 2-3 คน แต่กำลังขยายวงผ่านโซเชียลมีเดีย แม้จะยังไม่ใหญ่พอที่จะกระทบการส่งออกของสหรัฐฯ แต่ก็เป็นสัญญาณว่าชาวยุโรปพร้อมใช้พลังของผู้บริโภคเป็นอาวุธ

"เทสลา" สัญลักษณ์บอยคอตต์อิทธิพลอเมริกัน
ทรัมป์อาจไม่เป็นที่นิยมในยุโรป แต่เทสลา ซึ่งมีอีลอน มัสก์ ผู้สนับสนุนทรัมป์เป็นเจ้าของ กลายเป็นเป้าหมายใหญ่ การประท้วงหน้า โชว์รูมเทสลา ในอังกฤษเริ่มขึ้น แต่ที่เมืองลีดส์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (22 มี.ค.) มีผู้เข้าร่วมไม่ถึง 20 คนตามภาพที่ผู้จัดเผยแพร่ แสดงถึงความยากในการระดมคนในยุคนี้
ยอดขายเทสลาในยุโรปเดือนมกราคมลดลงจาก 18,121 คัน เหลือ 9,913 คัน ตามข้อมูลของ JATO แม้บางส่วนอาจเป็นผลจากรอบการเปิดตัวรุ่นใหม่ แต่หลายคนเชื่อว่ากระแสต่อต้านทรัมป์และมัสก์มีส่วนด้วย การโจมตีเทสลากลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านอิทธิพลอเมริกันในยุโรป

สมัยทรัมป์มาเยือนลอนดอนในปี 2561 มีผู้ประท้วงถึง 250,000 คน พร้อมบอลลูน "ทรัมป์เบบี้" ขนาด 20 ฟุต ลอยเหนือเมือง แต่ครั้งนี้ การต่อต้านย้ายจากถนนมาสู่ครัวเรือน โซอี การ์ดเนอร์ จาก Stop Trump Coalition บอกว่าการประท้วงกลายเป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้น เช่น การเลิกซื้อสินค้าจาก Amazon แม้เธอยอมรับว่ายังใช้ WhatsApp ซึ่งเป็นของ Meta บริษัทอเมริกัน
มันมีข้อขัดแย้งอยู่ แต่ก็ยังคุ้มที่จะทำ การต่อสู้ครั้งนี้เงียบกว่าแต่ก่อน แต่ก็สะท้อนความโกรธที่ยังคุกรุ่นในใจชาวยุโรป
ราฟาเอล กลัคส์มันน์ สมาชิกสภายุโรปจากฝรั่งเศส ออกมาท้าทายสหรัฐฯ ระหว่างการชุมนุมด้วยคำพูดที่ว่า คืนเทพีเสรีภาพมา เขาหมายถึงรูปปั้นที่ฝรั่งเศสมอบให้สหรัฐฯ เมื่อร้อยกว่าปีก่อน "ถ้าสหรัฐฯ ไม่สนใจโลกเสรี เราจะรับช่วงต่อเองในยุโรป" เขากล่าวต่อบน X

คำพูดนี้จุดไฟให้ชาวยุโรปบางคนรู้สึกว่าถึงเวลายืนหยัดด้วยตัวเอง แทนที่จะพึ่งพาสหรัฐฯ อย่างที่เคยเป็นมา การท้าทายนี้ไม่ใช่แค่คำพูด แต่เป็นการเรียกร้องให้ยุโรปกำหนดทิศทางของตัวเองในโลกที่ทรัมป์ครองอำนาจ
อ่านข่าวอื่น :
ค่าฝุ่น PM2.5 ภาคเหนือ 17 จังหวัด แตะ "ระดับสีแดง" สั่งเฝ้าระวังใกล้ชิด