วันนี้ (24 มี.ค.2568) เวลาประมาณ 20.40 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ชี้แจงในที่ประชุมสภาฯ เกี่ยวกับประเด็นการส่งชาวอุยกูร์กลับจีน ว่า การกล่าวอ้างของ ในประเด็นเรื่องชาวอุยกูร์ อาจเป็นการพูดเพราะไร้ประสบการณ์ ไม่เคยบริหารประเทศ จึงพูดหลายเรื่องโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและความมั่นคงของชาติ ใช้แต่จินตนาการนำสิ่งเหล่านี้มาวิพากษ์วิจารณ์
ปัญหาชาวอุยกูร์เป็นปัญหาที่ตกค้างมานาน ซึ่งชาวอุยกูร์มีความผิดเรื่องเข้าประเทศผิดกฎหมาย โทษอย่างสูง 2 ปี แต่ที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ปัญหาได้จึงต้องคุมขังมาถึง 11 ปี
ปัญหาของประเทศไทยอยู่บนทาง 2 แพร่ง ทำให้รัฐบาลที่ผ่านมาไม่กล้าตัดสินใจ แต่รัฐบาลนี้อาสาเข้ามาแก้ปัญหาหลายเรื่อง ตามที่นายกรัฐมนตรีย้ำว่าเรื่องใดแก้ได้ต้องรีบแก้และหาทางออกให้ได้ ซึ่งปัญหาอุยกูร์เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องดำเนินการ
ทั้งนี้ เป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่ได้ยินบางคำพูดจากคนรุ่นใหม่ว่า ให้คุมขังพวกเขาเหล่านี้เพื่อใช้ต่อรองกับมหาอำนาจ จึงขอย้ำว่าอย่ามองคนอื่นเป็นสินค้า แต่ขอให้มองถึงความเป็นมนุษย์

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม
สำหรับการแก้ปัญหาชาวอุยกูร์มีให้เลือก 3 ทาง โดยแนวทางแรกคือ คุมขังต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควร, แนวทางที่ 2 คือการส่งไปประเทศที่ 3 ซึ่งปรากฏว่าไม่มีเอกสารหลักฐานหรือหนังสืออย่างเป็นทางการจากประเทศใดที่จะขอรับชาวอุยกูร์ หรือให้สิทธิผู้ลี้ภัย แม้แต่องค์กรระหว่างประเทศก็ไม่ใยดี ดังนั้นเรื่องประเทศที่ 3 จึงเป็นความเพ้อฝันของคนบางคน
แนวทางที่ 3 ส่งไปประเทศที่เป็นเจ้าของ ซึ่งการที่นายกัณวีร์ระบุว่าไม่ใช่ชาวจีน หรือมีหลักฐานว่าเป็นชาวตุรกีนั้น ถือเป็นเรื่องโกหก เพราะมีหลักฐานว่าทั้ง 40 คนเป็นคนจีนและมีหลักฐานแน่นอนว่าทั้ง 40 คนสมัครใจกลับจีน
อ่านข่าว : "กัณวีร์" ยกไทม์ไลน์ 73 วันรัฐบาลโกหก เปิดคลิปเสียงอุยกูร์ไม่ขอกลับจีน
นายภูมิธรรม ย้ำว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่มีความสบายใจนัก ซึ่งเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ มาพูดคุยและได้แสดงความห่วงใย แต่หลังจากที่ได้ชี้แจงแล้ว แต่ละประเทศเข้าใจและยืนอยู่บนข้อเท็จจริง ไม่ใช่อยู่กับความเพ้อฝัน พร้อมย้ำว่าจีนมีข้อตกลงกันในแง่สิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการออกจดหมายรับรองอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นจดหมายสำคัญระดับประเทศ และนายกรัฐมนตรีได้ไปพบกับผู้นำระดับสูงของจีน ซึ่งทางจีนยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างดีที่สุด
หลักการส่งชาวอุยกูร์กลับจีน อยู่ภายใต้พันธกรณี 5 ด้าน คือ คำนึงถึงอธิปไตยของไทย, ดำเนินการภายใต้กฎหมาย, คำนึงถึงความสัมพันธ์และความมั่นคงของชาติ, คำนึงถึงหลักการเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการไม่ส่งคนไปยังที่อันตราย เผชิญกับความทรมาน หรือทำให้เกิดสูญหาย และเป็นการพิจารณาโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยความรอบคอบ

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินการไปตามหลักการและยืนยันว่าประเทศไทยไม่ได้เลือกข้างใด แต่เป็นการเลือกประเทศไทยให้ยืนอยู่ได้และไม่เกิดปัญหาตกค้าง รวมทั้งพยายามให้มหาอำนาจอดทนอดกลั้น แก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี พร้อมย้ำว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้ต้องใช้เวลาการพูดคุยกันหลายฝ่าย เพื่อให้ประเทศชาติหลุดพ้นจากความขัดแย้งเหล่านี้ และจากเสียงสะท้อนในสังคมออนไลน์ก็สนับสนุนแนวทางของรัฐบาล
จากการเดินทางไปมณฑลซินเจียงอุยกูร์ ได้เห็นข้อเท็จจริงด้วยตาและพาสื่อมวลชนร่วมเดินทางไปพิสูจน์ความจริง โดยในช่วง 2 วันได้พบชาวอุยกูร์ 12 ใน 40 คน ทุกคนต้องการเลือกอนาคตตนเองและอยากอยู่อย่างสงบ
นายภูมิธรรม ระบุอีกว่า นายกัณวีร์ถือว่าพลาดที่พูดเรื่องชาวอุยกูร์โดยไม่ค้นหาข้อเท็จจริง ซึ่งควรเก็บเป็นบทเรียนและทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์
ขณะที่นายกัณวีร์ ใช้สิทธิ์ชี้แจงโต้แย้งว่า แม้ไม่เคยบริหารประเทศ แต่เคยบริหารองค์กรระหว่างประเทศ โดยจบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและทำงานในองค์กรระหว่างประเทศมาก่อนหน้านี้ พร้อมระบุว่าไม่ได้จินตนาการเรื่องประเทศที่ 3 ขอรับชาวอุยกูร์ แต่ได้ข้อมูลมาจากกระทรวงการต่างประเทศ

นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม
อ่านข่าว
"รัฐบาล" ประเมิน "ฝ่ายค้าน" ซักฟอกวันแรกยังไม่เห็นหมัดน็อก
ประท้วงวุ่น! ภูมิธรรมท้าเปิดกูเกิล "กี้กี้" ภราดรตัดจบ "ทุกคนนั่งลง