สัมพันธ์ไทย-กัมพูชาภายใต้บทบาท “ทักษิณ”

ภายหลังเปลี่ยนรัฐบาลแม้ว่าปัญหาความสัมพันธ์ไทยกัมพูชาจะถูกคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นมาก แต่การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามามีบทบาทเชื่อมความสัมพันธ์ ทำให้นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ และนักวิชาการด้านกฏหมาย ย้ำถึงความโปร่งใสในการเจรจาผลประโยชน์ประเทศ โดยไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ

  

  
นโยบายรัฐบาลเร่งด่วนด้านต่างประเทศเริ่มจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา แต่การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีบทบาทเชื่อมความสัมพันธ์โดยใช้ความสนิทกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นประเด็นที่ฝ่ายค้านนำมาโจมตีว่า มีวาระผลประโยชน์ซ่อนเร้นในความสัมพันธ์ รวมถึงล่าสุดการโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศ และเปลี่ยนตัวคณะต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร ที่อาจจะส่งผลกระทบความต่อเนื่องของการทำงาน
     
 ด้าน รศ.จุลชีพ ชินวรรโณ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยอมรับว่าความสัมพันธ์ไทย- กัมพูชามีการเมืองภายในประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง และรัฐบาลปฏิเสธไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมาจากบทบาท พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นสำคัญ ขณะที่มองว่านายกรัฐมนตรีควรนำบุคคลในกระทรวงการต่างประเทศที่มีความสามารถตั้งเป็นคณะที่ปรึกษาด้เพื่อให้ข้อมูลในเวทีประชุมนานาชาติ ส่วนนายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการอิสระด้านกฏหมาย มองประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อนว่าแม้จะมีข้อกำหนดว่าการตกลงใด ๆที่เป็นผลประโยชน์ของประเทศจะต้องผ่านรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 แต่รัฐบาลจำเป็นต้องชี้แจงความโปร่งใสต่อสาธารณชนในการเจรจาผลประโยชน์ของประเทศ ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ควรลดบทบาทเป็นเพียงให้คำปรึกษาเท่านั้น
     
ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวระหว่างเยือนกัมพูชา ว่าสมเด็จฮุนเซน ถือเป็น"สหายตลอดกาล" ขณะที่สมเด็จฮุนเซน ประกาศระหว่างแข่งขันฟุตบอลร่วมกับ ส.ส.รัฐบาลว่า กลุ่ม นปช. ถือเป็นพี่น้องร่วมชาติกัมพูชา ชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาที่จะแนบแน่นมากขึ้นจากนี้ไป ขณะที่สิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องมีความชัดเจน นั่นคือการแยกแยะประเด็นความสัมพันธ์ที่ดีกับการทำเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ