เอกชนเห็นด้วยสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงกรณีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อต่อต้านการสร้างคันกั้นน้ำรอบนิคมอุตสาหกรรม ว่า การสร้างคันกั้นน้ำรอบนิคมอุตสาหกรรม หาก ไม่เร่งดำเนินการในช่วงนี้เมื่อถึงฤดูฝนอีกครั้งอาจสร้างความเสียหายให้กับ ผู้ประกอบการจนส่งผลต่อเนื่องไปถึงรายได้ของแรงงานในชุมชนรอบนิคมฯ และเศรษฐกิจภาพรวมได้ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเองก็พร้อมที่จะทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ เพื่อสร้างความพอใจให้กับชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรม พร้อมระบุ ขณะนี้มีโรงงานที่ฟื้นฟูภายหลังจากถูกน้ำท่วม กลับมาเดินสานการผลิตเป็นปกติแล้วร้อยละ 30-40 ส่วนที่เหลือซึ่งยังไม่สามารถผลิตได้นั้น ยังอยู่ในช่วงของการซ่อมแซมเครื่องจักร และรอชิ้นส่วนอุปกรณ์ในการผลิต และมีโรงงานกว่า 20 โรงงาน ที่ย้ายออกจากนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วม
ด้านนายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ขณะนี้ ได้สั่งการให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตั้งคณะทำงานเพื่อเตรียมการชี้แจงข้อมูลให้กับสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน และศาลปกครองกลาง เกี่ยวกับรายละเอียดการสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมของนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่งแล้ว โดยขณะนี้นิคมอุตสาหกรรมทั้ง 6 แห่ง ที่สร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วม กำลังปรับปรุงรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) เพื่อให้สอดคล้องสถานการณ์ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการเสร็จภายในเดือน มี.ค. จากนั้นจะเสนอให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณา ซึ่ง กนอ.มีหนังสือให้นิคมอุตสาหกรรมทุกแห่งดำเนินการตามอีไอเอ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบนิคมอุตสาหกรรม ได้ยื่นฟ้อง 7 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้มีคำพิพากษาให้ทั้ง 7 หน่วยงาน ระงับและเพิกถอนการดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อน หรือพนังกั้นน้ำรอบ11 นิคมอุตสาหกรรม ที่ตั้งอยู่ในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานีกทม. และสมุทรปราการ เพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัย โดยเหตุผลในการยื่นฟ้องครั้งนี้ เพราะเห็นว่า การที่รัฐสนับสนุนให้นิคมอุตสาหกรรมสร้างเขื่อน หรือพนังกั้นน้ำ จะนำไปสู่ความขัดแย้งของประชาชนโดยรอบนิคมฯ เนื่องจากที่ผ่านมา รัฐขาดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียภายในชุมชน และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม ในเรื่องรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม