วันนี้ (29 เม.ย.2568) CNN รายงาน เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวเท้ากลับเข้าสู่ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2568 ชาวอเมริกันต่างฝากความหวังไว้กับเขาอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขาคิดถึงสมัยแรกของทรัมป์ก่อนโควิด ที่เศรษฐกิจดูเหมือนจะรุ่งเรือง ซูเปอร์มาร์เก็ตเต็มไปด้วยสินค้าราคาไม่แพง และงานมีให้ทำทั่วไป ในแคมเปญหาเสียงเมื่อ พ.ย.2567 ทรัมป์ให้สัญญาจะทำให้อเมริกากลับมา "จ่ายได้สบายกระเป๋า" อีกครั้ง ชาวอเมริกันที่เหนื่อยล้าจากราคาของกินของใช้ที่พุ่งสูงจึงหลงเชื่อ และมอบคะแนนเสียงให้เขาคว้าชัยชนะ
แต่เพียง 100 วันหลังจากวันสาบานตน เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เคยแข็งแกร่งกลับกลายเป็นภาพฝันร้าย ตลาดหุ้นร่วงราวกับโดมิโน มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์หายวับไปในพริบตา ราคาสินค้าพุ่งสูงจนชาวอเมริกันต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนจับจ่าย ความเชื่อมั่นของทั้งนักลงทุนและประชาชนดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ และสัญญาณเตือนภาวะถดถอยเริ่มกะพริบชัดเจน
สาเหตุของความโกลาหลนี้ คิดเป็นอื่นใดไม่ได้ นอกจาก "นโยบายภาษีนำเข้าสุดโต่ง" ที่ทรัมป์เลือกเดินหน้า แม้จะมีคำเตือนจากนักเศรษฐศาสตร์ นักธุรกิจ และแม้แต่พันธมิตรของเขาว่ามันอาจพาประเทศสู่หายนะ

เดิมพันครั้งนี้ "ภาษีนำเข้า" คือคำตอบ ?
2 เม.ย.2568 ทรัมป์ยืนอย่างมั่นใจในสวนกุหลาบของทำเนียบขาว ประกาศวันนั้นเป็น "วันปลดแอก" ทางเศรษฐกิจ เขาชี้ไปที่โปสเตอร์ยักษ์ที่แสดงอัตราภาษีนำเข้าสูงลิบ 145% สำหรับสินค้าจากจีน, 10-50% สำหรับหลายสิบชาติ รวมถึงพันธมิตรอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหภาพยุโรป
เราจะรวยเป็นชาติ! ชาติอื่นขโมยความมั่งคั่งของเราไปนานเกินไปแล้ว
ทรัมป์เชื่อมั่นว่านโยบายนี้จะพลิกโฉมเศรษฐกิจโลก เขาต้องการบังคับให้ชาติคู่ค้าเปิดตลาดให้สินค้าอเมริกัน และย้ายโรงงานกลับมาสร้างงานในเมืองอุตสาหกรรมที่ล่มสลายจากโลกาภิวัตน์ เช่น รัสต์เบลต์ในมิดเวสต์ เขาใช้คำสั่งฉุกเฉินแห่งชาติเพื่อปลดล็อกอำนาจตั้งภาษีโดยไม่ต้องผ่านสภา ซึ่งจุดกระแสวิจารณ์ว่าอาจขัดรัฐธรรมนูญและกฎหมาย แต่ทรัมป์ไม่สน เขายืนยันว่านี่คือหนทางสู่ "ยุคทอง" แบบปลายศตวรรษที่ 19 ที่สหรัฐฯ ครองโลกด้วยพลังเศรษฐกิจ
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังภาษีมีผล ความจริงก็ฟาดทรัมป์เข้าเต็ม ๆ ตลาดพันธบัตรส่งสัญญาณว่านักลงทุนเริ่มสูญเสียศรัทธาในสหรัฐฯ เขาต้องรีบระงับภาษีบางส่วนเป็นเวลา 90 วัน แต่ความเสียหายได้เริ่มขึ้นแล้ว
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนัก มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์หายไป สายการบินลดเที่ยวบิน ร้านค้าปลีกเลิกนำเข้าสินค้าจากจีนเพราะต้นทุนพุ่ง บริษัทใหญ่ ๆ ทิ้งคาดการณ์ผลกำไรประจำปี กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของสหรัฐฯ และ ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) รายงานว่าบางบริษัทหยุดจ้างงานแล้ว

ความเจ็บปวดของชาวอเมริกัน
ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองคลีฟแลนด์ เจน แม่บ้านวัย 40 ปี ยืนมองราคานมที่แพงขึ้นร้อยละ 20 ในรอบเดือน เจนบอกกับ CNN ว่าเธอโหวตให้ทรัมป์เพราะหวังว่าจะทำให้ของถูกลง เธอบอกด้วยแววตากังวล แต่ตอนนี้ เธอกลับต้องนับทุกเซ็นต์ก่อนซื้อของ ความรู้สึกของเจนสะท้อนในโพล CNN ที่ระบุว่าคะแนนนิยมของทรัมป์ดิ่งลงเหลือร้อยละ 41 ต่ำสุดในรอบ 70 ปีสำหรับประธานาธิบดีใน 100 วันแรก คะแนนด้านการจัดการเศรษฐกิจยิ่งแย่ อยู่ที่ร้อยละ 39 และมีเพียงร้อยละ 35 ที่เห็นด้วยกับนโยบายภาษีของเขา

ฝั่งธุรกิจก็เดือดร้อนไม่แพ้กัน ไมค์ เจ้าของร้านค้าปลีกในลอสแอนเจลีสเล่าว่า "ภาษีจีนร้อยละ 145 ทำให้ต้องเลิกขายของครึ่งร้าน ลูกค้าหาย กำไรหด กลัวจะต้องปิดร้านในอีกไม่กี่เดือน"
ทางด้าน CEO ของ Walmart เตือนทรัมป์ตรง ๆ ว่านโยบายนี้จะทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักภายในฤดูร้อน ขณะที่ร้านค้าปลีกบางแห่งเริ่มยกเลิกการขายสินค้าจากจีนทั้งหมด เพราะราคาที่สูงเกินไปทำให้แข่งขันไม่ได้
ความกังวลเริ่มครอบงำ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน เม.ย.2568 ร่วงสู่ระดับต่ำสุดอันดับ 4 นับตั้งแต่ปี 2495 ส่วนดัชนีความกลัวและความโลภของ CNN ซึ่งวัดอารมณ์ในตลาดหุ้น อยู่ในโซนกลัว หรือ กลัวสุดขีด ตลอดทั้งเดือน สัญญาณเตือนภาวะถดถอยเริ่มชัดเจน และชาวอเมริกันเริ่มสงสัยว่า "สุดยอดนักเจรจา" ที่ทรัมป์ให้เครดิตตัวเองไว้ อาจไม่ใช่คำตอบของปัญหา

โลกสวยของทรัมป์ บนโลกที่มันโหดร้าย
"ผมถูกเสมอในเรื่องเศรษฐกิจ" ทรัมป์บอกนิตยสาร Time ในการสัมภาษณ์ฉลอง 100 วันแรก โดยยืนยันว่าจะทำให้สหรัฐฯ ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ ทรัมป์อ้างว่าทำข้อตกลงการค้าไปแล้ว 200 ฉบับ และทีมกำลังเจรจากับจีน แต่จีนออกมาปฏิเสธชัดเจนว่าไม่มีการติดต่อใด ๆ และไม่มีท่าทีจะยอมจำนนต่อการข่มขู่ของทรัมป์
ทีมของทรัมป์ยังคงมองโลกในแง่ดี "สกอตต์ เบสเซนต์" รัฐมนตรีคลัง เรียกความผันผวนของนโยบายนี้ว่าความไม่แน่นอนเชิงกลยุทธ์ ที่จะบังคับให้ชาติคู่ค้ายอมเจรจา "บรูก โรลลินส์" รัฐมนตรีเกษตร ยกย่องทรัมป์ว่าเป็นสุดยอดนักเจรจาและบอกว่าหลายชาติกำลังเคาะประตูขอทำข้อตกลง แต่จนถึงตอนนี้ ข้อตกลงที่ทรัมป์หวังไว้ยังไม่ปรากฏให้เห็น
ที่น่ากังวลคือวิธีที่ทรัมป์จัดการนโยบาย เขาตั้งภาษี ระงับภาษี และปรับภาษีอย่างไม่แน่นอน สร้างความสับสนให้ทั้งนักธุรกิจและผู้บริโภค วันหนึ่งเขาอาจประกาศภาษีใหม่ อีกวันอาจยกเลิกกะทันหัน ความไม่แน่นอนนี้เองที่ ดร.ซาราห์ คลาร์ก นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชิคาโก เตือนว่าเป็นสูตรสำเร็จของภาวะถดถอย
นโยบายของทรัมป์เหมือนเล่นกับไฟ ถ้าเขาไม่เปลี่ยนทิศทาง ภาวะถดถอยอาจมาเร็วกว่าที่เราคิด

สงครามกับจีน - การท้าทายธนาคารกลาง
ทรัมป์ไม่ได้แค่ตั้งกำแพงภาษีกับจีน แต่เหมือนเปิดสงครามเศรษฐกิจเต็มรูปแบบกับมหาอำนาจแห่งศตวรรษที่ 21 ภาษี ร้อยละ 145 ทำให้การค้าระหว่างสหรัฐและจีนแทบหยุดชะงัก ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงเกินกว่าประเด็นการค้า เช่น ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้หรือปัญหาไต้หวัน
ในประเทศ ทรัมป์ยังโจมตี "เจอโรมี พาวเวลล์" ประธานธนาคารกลางสหรัฐ เรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญเตือนว่านี่จะยิ่งทำให้เงินเฟ้อพุ่ง ซึ่งคาดว่าจะสูงขึ้นอยู่แล้วจากภาษีนำเข้า การแทรกแซงธนาคารกลางทำให้ภาพลักษณ์ของสหรัฐในฐานะเสาหลักของเศรษฐกิจโลกมัวหมอง ตลาดหุ้นยิ่งผันผวนหนักเมื่อทรัมป์ข่มขู่จะไล่พาวเวลล์ออก แม้ล่าสุดเขาจะลดโทนลงบ้าง

เคน กริฟฟิน นักลงทุน กล่าวในงาน Semafor World Economy Summit ว่าสหรัฐฯ เคยเป็นมากกว่าประเทศ เป็นถึงแบรนด์ที่โลกอยากเป็น แต่ตอนนี้ทรัมป์กำลังทำลายแบรนด์นั้นด้วยนโยบายที่ขาดความรับผิดชอบ
ในเมืองดีทรอยต์ ลูกจ้างโรงงานวัย 50 ปี ที่เคยสนับสนุนทรัมป์อย่างเหนียวแน่น สะท้อนความรู้สึกของชาวอเมริกันที่เริ่มหมดศรัทธาในทรัมป์ เขาบอกว่าคิดว่าปริมาณงานน่าจะกลับมา เหมือนที่ทรัมป์สัญญาตอนหาเสียง แต่ตอนนี้โรงงานของเขากลับลดชั่วโมงทำงาน เพราะลูกค้าซื้อของน้อยลง
ฝั่งนักธุรกิจ ลิซ่า เจ้าของบริษัทนำเข้าสินค้าในนิวยอร์กบอกว่า ภาษีทำให้ต้องขึ้นราคาสินค้าร้อยละ 30 ลูกค้าโกรธมาก แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ อาจต้องเลิกจ้างพนักงาน
นักวิชาการ ดร.เจมส์ ไรท์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด วิเคราะห์ว่าทรัมป์มองเศรษฐกิจเหมือนเกมที่ต้องมีผู้ชนะและผู้แพ้ แต่ในโลกการค้าสมัยใหม่ การตั้งกำแพงภาษีไม่ใช่คำตอบ มันจะทำร้ายทั้งสหรัฐฯ และคู่ค้าในระยะยาว
เดิมพันของสหรัฐฯ
ทรัมป์กำลังเดินหน้าเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตการเมืองของเขา ถ้าเขาสามารถบังคับให้ชาติคู่ค้ายอมทำข้อตกลงการค้าที่เอื้อต่อสหรัฐได้จริง เขาอาจพลิกเกมและสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะผู้นำที่ท้าทายทุกความคาดหมาย แต่ถ้าล้มเหลว ภาวะถดถอยที่กำลังคืบคลานมาจะกลายเป็นความจริง และชาวอเมริกันจะต้องจ่ายราคาแพงจากนโยบายที่ทรัมป์เรียกว่า "สวยงาม"
เขายืนยันว่า ถ้าภาษีนำเข้าสูงถึงร้อยละ 20-50 ในปีหน้า จะเป็นชัยชนะที่สมบูรณ์ แต่สำหรับประชาชน นั่นหมายถึงราคาสินค้าที่แพงขึ้นมหาศาล เทียบได้กับการเก็บภาษีครั้งใหญ่ ทรัมป์สัญญาจะชดเชยด้วยการลดภาษีครั้งใหญ่ แต่แผนนี้ยังติดขัดในสภา และคำกล่าวอ้างว่าเขาลดราคาสินค้าพื้นฐานลงตั้งแต่รับตำแหน่งนั้น ส่วนใหญ่ไม่เป็นความจริง

ที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าคือวิสัยทัศน์ของทรัมป์ที่มองตัวเองเป็น "ผู้อำนวยการเศรษฐกิจ" เขาบอก Time ว่าเขาจะกำหนดราคาสินค้าได้เหมือนบริหารห้างสรรพสินค้า
บางประเทศอาจขอปรับราคา และผมจะพิจารณา แต่ผมจะกำหนดด้วยความรู้ที่ยิ่งใหญ่
ระบบแบบนี้ ซึ่งให้คนเพียงคนเดียวที่มีความเข้าใจเศรษฐศาสตร์จำกัดควบคุมราคา อาจนำไปสู่ความโกลาหล การคอร์รัปชัน และทำลายระบบเศรษฐกิจที่ยึดตามกฎ ซึ่งเป็นรากฐานของความยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ

ในขณะที่ทรัมป์ยึดมั่นในแนวทาง "America First" อเมริกาต้องมาก่อน แต่ดูเหมือนเขากำลังทำให้พันธมิตรอย่างยุโรปและญี่ปุ่นห่างเหิน และจุดชนวนความตึงเครียดกับจีน ซึ่งอาจลุกลามเกินกว่าประเด็นการค้า ชาวอเมริกันกำลังรอคำตอบว่า นโยบายที่ทรัมป์ยืนยันว่าเป็นการประกาศอิสรภาพทางเศรษฐกิจ จะนำไปสู่ความรุ่งเรือง หรือกลายเป็นหายนะที่เขาเป็นคนจุดไฟขึ้นเอง
โลกกำลังจับตา และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จะได้รู้ว่า "สุดยอดนักเจรจา" ที่ทรัมป์อ้างว่าเป็น
จะพาสหรัฐฯ ไปถึงฝั่งฝัน หรือผลักลงสู่เหวที่ลึกยิ่งกว่าเดิม
อ่านข่าวอื่น :
รู้ไว้เงินไม่หาย! ลูกจ้างทำงาน "วันแรงงาน" โอทีสูงสุด 3 เท่า