ดีเอสไอเดินหน้าสอบ 
ดีเอสไอยังคงเดินหน้าสอบผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยว ทั้งการจัดซื้อ และ กรณีหายไปของยาแก้หวัด ที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน โดยเฉพาะจังหวัดอุดรธานีที่มียาหายไปกว่า 7,000,000 เม็ด
เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ และอัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคดีพิเศษ สอบปากคำ นายดำรงค์เกียรติ ตั้งเจริญ หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี เพื่อต้องการทราบถึงขั้นตอนการจัดซื้อยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีนอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรอุดรธานี ส่งมอบสำนวนให้กับดีเอสไอไปแล้วก่อนหน้านี้
นายดำรงค์เกียรติ ให้การว่า นายสมชาย แช่โค้ว อดีตเภสัชกรชำนาญการ เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อยา ด้วยวิธีการผู้ปลอมแปลงเอกสาร ก่อนลักลอบนำยาแก้หวัดมากกว่า 7,000,000 เม็ดออกไปจากโรงพยาบาล
เช่นเดียวกับ ที่ จ.ศรีสะเกษ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าพบ นพ. กิติภูมิ จุฑาสมิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูสิงห์ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม กรณียาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของสารซูโดอีเฟดรีน หายไปจากโรงพยาบาลกว่า 250,000 เม็ด โดยวันพรุ่งนี้ (25 เม.ย.) ดีเอสไอจะเข้าสอบปากคำเภสัชกรของโรงพยาบาลภูสิงห์ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่
ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และพนักงานอัยการสำนักงานอัยการ ฝ่ายคดีพิเศษ ใช้เวลาทั้งวันในการสอบปากคำ นางพิชญ์สินี ประเสริฐศรี พนักงานห้องคลังยา โรงพยาบาลเช็นทรัลเชียงใหม่เมโมเรียล รวมทั้ง น.ส.ศุภรดา ทองเที่ยง และ นางมยุรี หลวงเครื่อง ผู้แทนบริษัทยา ผู้ต้องหาที่ถูกตำรวจดำเนินคดี ข้อหาร่วมกันมียาซูโดอีเฟดรีนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร และ ใช้เอกสารปลอม ของโรงพยาบาลเซ็นทรัลเชียงใหม่เมโมเรียล สั่งซื้อยาซูโดอีเฟดรีนกว่า 300,000 เม็ด โดยเจ้าหน้าที่มุ่งสอบสวนขยายผลในกระบวนการสั่งซื้อยา ที่มีโรงพยาบาลหลายแห่งเกี่ยวข้อง รวมทั้งติดตามเส้นทางยาซูโดอีเฟดรีนที่หายไปจากระบบ
พล.ต.ต.ชำนาญ รวดเร็ว รองผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 5 ระบุว่า คดีในพื้นที่สันกำแพงอาจมีความเกี่ยวข้องกับ กรณีการตรวจสอบโรงพยาบาลศิริเวช จ.ลำพูน ซึ่งมีการสั่งซื้อยาซูโดอีเฟดรีนกว่า 1,000,000 เม็ด และ มีการทำรายงานเท็จ ขณะนี้กำลังเร่งตรวจสอบว่า มีการนำยาไปขายที่ไหนบ้าง
ขณะที่นายแพทย์พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ระบุว่า ในปี 2553 ตรวจพบยาซูโดอีเฟดรีนสูตรผสม 48 ล้านเม็ด เป็นยาที่ผลิตในประเทศ 8,000,000 เม็ด ที่เหลือลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ โดยพบว่าจำนวนนี้กว่า 30 ล้านเม็ด นำเข้าจากประเทศเกาหลี ซึ่ง อย.ได้ประสานไปยังสถานทูตเกาหลี เพื่อห้ามบริษัทจากเกาหลี ส่งยามายังบริษัทในไทย ซึ่งบริษัทที่แจ้งขอนำเข้านั้นไม่ได้รับใบอนุญาตจาก อย. รวมทั้งตัวยาก็ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเช่นกัน โดย อย.ได้ส่งข้อมูลเหล่านี้ ให้กับดีเอสไอไปแล้ว