การขัดแย้ง
แรงกระเพื่อมทางการเมืองภายในพรรคเพื่อไทย หลังมีกระแสข่าวการปรับ ครม. ยิ่งลักษณ์ 3 นอกจากการเข้าร่วมรัฐบาลของสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ยังมีแนวโน้มที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ จะเข้ามาเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แทน นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ ซึ่งถือเป็นโควต้ารัฐมนตรีของ ส.ส.ภาคกลาง
แม้มีความพยายามของแกนนำพรรคเพื่อไทย ที่จะยุติปัญหาระหว่าง นายฉลอง เรี่ยวแรง ส.ส.นนทบุรี ที่โจมตีนายจตุพร ว่ามีคุณสมบัติไม่เหมาะสมจากคดีการหมิ่นสถาบัน จนกระทั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษออกมาแถลงไม่สั่งฟ้องคดีนี้ แต่ปฏิกริยาของกลุ่ม นปช.ที่ไม่พอใจ นายฉลอง สะท้อนว่า ภายในพรรคเพื่อไทย มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและไม่เห็นด้วยกับ กลุ่ม นปช.โดยประธาน นปช. ระบุว่า เป็นไปไม่ได้ที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะเห็นด้วยกับกลุ่ม นปช.ทั้งหมด โดยเฉพาะการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องของอำนาจ และประโยชน์ ที่จะต้องทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพทางการเมือง
บทบาทของกลุ่ม นปช.รวมทั้งการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยส่งสัญญาณจากกัมพูชามาถึง นายจตุพร ต่อคำสัญญาในตำแหน่งรัฐมนตรี มีลักษณะเกื้อหนุนกัน ทำให้เห็นความสำคัญของนายจตุพร ที่มีมากกว่านายฉลอง ตามการวิเคราะห์ของ รองศาสตราจารย์อัษฎางค์ ปาณิกบุตร
ส่วนการปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 รองศาสตราจารย์อัษฎางค์ เชื่อว่าการสรรหาบุคคลจะขึ้นอยู่กับคนในตระกูลชินวัตร จะตกลงกัน โดย พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีอิทธิพลสูงสุดในการตัดสินใจ การบริหารประเทศของรัฐบาลผสมที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ มีความได้เปรียบจากการที่พรรคเพื่อไทยมีเสียงข้างมากกว่า 260 เสียง นายกรัฐมนตรี จึงมีอำนาจเต็มที่ในการตั้งรัฐมนตรี และปรับ ครม. หากแต่กระแสข่าวผู้ที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ทำให้การปรับ ครม.ครั้งนี้ ยังมีคำถามว่า มีผู้อยู่เบื้องหลังในการปรับ ครม.เพื่อเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล หรือปรับเพื่อนำบุคคลที่มีความความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานอย่างแท้จริง