ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ผู้ใหญ่ตกงาน เด็กจบใหม่เคว้ง ปัญหาที่ต้องแก้ให้ตก


Insight

30 ม.ค. 68

พีรชัย พสุทันท์

Logo Thai PBS
แชร์

ผู้ใหญ่ตกงาน เด็กจบใหม่เคว้ง ปัญหาที่ต้องแก้ให้ตก

https://www.thaipbsbeta.com/now/content/2259

ผู้ใหญ่ตกงาน เด็กจบใหม่เคว้ง ปัญหาที่ต้องแก้ให้ตก
บริการเสริมจาก Thai PBS AI

ฤดูกาลสอบเข้ามหาวิทยาลัยของ “Dek68” ได้เข้ามาถึงเฟสใหม่ เพราะในช่วงสัปดาห์นี้ (28 ม.ค.-6 ก.พ. 68) เด็กม. 6 หลายหมื่นคนรวมถึงเด็กซิ่ว ต้องสมัครสอบ A-Level ซึ่งจะเกิดขึ้นช่วงต้นเดือนมี.ค. และพวกเขาต้องนำผลคะแนนการสอบต่าง ๆ ไปยื่นสมัครเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา รอบแอดมิชชั่นของระบบ TCAS ในเดือนพ.ค. นี้

แม้อัตราการแข่งขันสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะยังคงสูงอยู่ทุกปี แต่อีกด้านหนึ่ง มีบัณฑิตหลายคนที่เผชิญกับภาวะ “ว่างงาน” หลังเรียนจบ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่า มีคนว่างงานในไทยประมาณ 414,000 คนในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี พ.ศ. 2567 อีกทั้งมีเด็กจบใหม่ที่ว่างงานเกิน 1 ปีเพิ่มขึ้น 81,000 คน

คำถามหนึ่งที่คนอาจคิดจากสถานการณ์นี้คือ มหาวิทยาลัยยังจำเป็นอยู่หรือไม่ในการผลิตคน

“ใบปริญญา” ไม่การันตีโอกาสและงานดี ๆ อีกต่อไป ?

เมื่อปี พ.ศ. 2566 งานวิจัยร่วมระหว่างองค์การยูนิเซฟประเทศไทย กระทรวงแรงงาน และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอข้อมูลว่า เยาวชนในช่วงอายุ 15-24 ปีกว่า 1.4 ล้านคนนั้นไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาและไม่ได้ทำงาน และในจำนวนนี้มีเยาวชนหญิงกว่าร้อยละ 70 ที่ต้องออกจากการเรียนเนื่องจากการตั้งครรภ์หรือภาระเลี้ยงดูครอบครัว ส่วนสาเหตุสำคัญของปัญหาดังกล่าวคือ ระบบการศึกษาที่ยังทำให้เด็กมองไม่เห็นอนาคตทางอาชีพ นำไปสู่ความท้อหรือแม้กระทั่งการเลิกเรียนกลางคัน และอีกสาเหตุหนึ่งคือปัญหาความยากจนซึ่งทำให้เด็กนับล้านหลุดจากระบบการศึกษาด้วยเช่นกัน

ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้นที่ตั้งคำถามถึงความสำคัญของใบปริญญาในปัจจุบัน แม้แต่ผู้คนในประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาก็สงสัยถึงคุณค่าของการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยเช่นกัน เมื่อปีที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยข้อมูล Pew Research Center เผยว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 29 คิดว่า การศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรีนั้นไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียอีกต่อไป และอีกร้อยละ 47 คิดว่า การเรียนในระดับอุดมศึกษานั้นจะคุ้มค่าหากไม่ต้องกู้ยืมทางการศึกษา นอกจากนี้ ชาวอเมริกัน 4 ใน 10 คนเห็นว่า ปริญญาตรีไม่ค่อยสำคัญหรือไม่สำคัญอีกต่อไปในการหางานที่ให้เงินเดือนดี
 

“หลังจากนี้จะรุนแรงกว่านี้อีก”

นับวันปัญหาการว่างงานจะรุนแรงขึ้นต่อคนทุกกลุ่มโดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งจบการศึกษาชั้นปริญญาตรี ผศ.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ในรายการห้องข่าว ไทยพีบีเอสว่า ปัญหาการว่างงาน ณ ขณะนี้เป็นเพียงสัญญาณเตือนถึงความเปลี่ยนแปลงต่อตลาดงานในอนาคตอันใกล้ “หลังจากนี้จะรุนแรงกว่านี้อีก เพราะเรากำลังเจอกับโลกที่ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนในอัตราที่เร็วมาก [แต่] เรากำลังใช้โมเดลในการสร้างคนแบบเดิมคือ 4 ปีจบปริญญาตรี แต่วันที่เขาเข้าไปเรียนวันแรกกับวันที่เขาจบ โลกมันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะฉะนั้น การที่ได้วุฒิออกมาอาจจะไม่ใช่ทักษะที่ตลาดต้องการ”

ไม่ใช่เพียงผู้ประกอบการและบริษัทต่าง ๆ จะเลือกรับคนที่มีประสบการณ์ทำงานก่อนเด็กจบใหม่เท่านั้น แต่ยังใช้เทคโนโลยีซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าเพื่อลดกำลังคน “ตอนที่ช่วงโควิดขึ้นมา กำลังซื้อแทบจะเป็นศูนย์เลย ธุรกิจ [จึง] ต้องมานั่งคิดกับตัวเองใหม่แล้วว่า โลกข้างหน้าเขาใช้โมเดลทำธุรกิจแบบเดิมไม่ได้แล้ว นั่นหมายความว่าเขาต้องเลือกคน ใช้คนให้น้อยลง เพราะคนเป็นต้นทุนคงที่ที่สูงที่สุด แล้วคนหนึ่งคนทำได้หลายอย่าง จึงเป็นที่มาว่า ถ้าทำได้หลายอย่าง จะเลือกใครดี ระหว่างคนที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว แล้วสอนเขาเพิ่ม กับรับคนจบใหม่ ทางเลือกมันชัดเจน” ผศ.เกียรติอนันต์กล่าว

ผศ.เกียรติอนันต์ยังระบุด้วยว่า แม้จะรู้ถึงปัญหาการว่างงานในหมู่เด็กจบใหม่ แต่มหาวิทยาลัยไทยก็ยังปรับหลักสูตรไม่ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ จึงกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บัณฑิตจบใหม่ไม่มีทักษะอื่น ๆ นอกเหนือจากความรู้ที่ได้เรียนในห้อง ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความคิดในลักษณะเดียวกันว่า มหาวิทยาลัยที่เน้นการให้ “องค์ความรู้” นั้น ไม่จำเป็นอีกต่อไปในยุคสมัยนี้  “เพราะฉะนั้น มหาวิทยาลัยที่เป็น ‘knowledge-based (ใช้องค์ความรู้เป็นพื้นฐาน)’ จะถูกดิสรัปจากดิจิทัลอย่างแน่นอน” ศ.ดร.วิเลิศ กล่าวในรายการคุยนอกกรอบ

 

พลิกระบบการเรียนรู้ตั้งแต่ระดับอุดมศึกษาถึงรากหญ้า (อาจเป็น) ทางออกปัญหาคนว่างงาน

แม้บทบาทของมหาวิทยาลัยจะถูกตั้งคำถามอย่างหนัก แต่ศ.ดร.วิเลิศมองว่า มหาวิทยาลัยยังคง “จำเป็น” เพื่อเป็นพื้นที่ให้ผู้คนได้รู้จักต่อยอดความคิดและทักษะของตนเองต่อไปในอนาคต “[ผม] มีลูกศิษย์ที่เรียนจบไปสิบกว่าปีแล้ว เปิดบริษัททางด้านเอไอ ผมถามว่า ‘สมัยเรียน ได้เรียนเอไอแบบนี้ไหม’ เขาบอก ‘ไม่มี’ นั่นแปลว่า เขาได้ความฉลาดและระบบความคิดมากพอที่จะไปเรียนรู้อย่างอื่นเพิ่มเติมจากปริญญาที่เราให้ ดังนั้น นั่นแหละครับคือหัวใจหลักของมหาวิทยาลัย” ศ.ดร.วิเลิศยกตัวอย่าง 

มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ต้องมีการปรับตัวถึงจะอยู่คู่กับสังคมได้ และการสอนทักษะเพิ่มเติมในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นดูจะเป็นข้อเสนอข้อหนึ่งที่ทั้งนักวิชาการและนักศึกษาพูดถึง วรนุช บุสบงษ์ ให้สัมภาษณ์ในรายการวันใหม่วาไรตี้ขณะที่ศึกษาในแขนงวิชาธุรกิจพาณิชย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เมื่อ 3 ปีก่อนไว้ว่า “ในส่วนของทางมหาวิทยาลัย ก็อยากให้เพิ่มเติมเรื่องของการจัดกิจกรรมหรือว่าการลงพื้นที่ปฏิบัติจริง เพราะว่าจะทำให้เรามีพื้นฐานในการทำงานก่อนที่เราจะไปทำงานจริง ซึ่งพื้นฐานตรงนี้ก็สำคัญมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานในสายงานของเราเอง หรือว่าพื้นฐานที่เราต้องอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นค่ะ”

ส่วนผศ.เกียรติอนันต์ก็ได้พูดถึงแนวคิด “adaptive university” หรือมหาวิทยาลัยที่เน้นการสอนทักษะมากกว่าองค์ความรู้ด้วยเช่นกัน ที่สำคัญกว่านี้ เขายังพูดถึงแนวทางอื่นที่จำเป็นต่อการพัฒนาทักษะและความคิดของกลุ่มเปราะบางต่อการว่างงานด้วย “เหลือทางเลือกให้เราไม่กี่ทางแล้วครับในแง่ของการพัฒนาคน เราต้องมี ‘แพลตฟอร์มการเรียนรู้ระดับชาติ’ หมายความว่าถ้าจะยุบโรงเรียนในชุมชน ตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้ [แทน] ได้ไหม แล้วก็มีคนไปสอนเป็นระยะ คอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ใช้และตั้งอยู่ที่นั่น ให้มาช่วยพ่อค้าแม่ค้าค้าขายออนไลน์ได้ไหม จริง ๆ Big Data (ข้อมูลมหัต) ระบุได้แล้วนะว่าโรงงานไหนจะเจ๊ง ธุรกิจไหนจะไม่รอด เอา [เทคโนโลยี] ไปช่วยคนกลุ่มนี้เพื่อให้เขาพร้อมสำหรับการไปสู่งานใหม่ก่อนครับ ขณะเดียวกัน พอเขาเห็นประโยชน์ของการที่มีการช่วยเหลือทีหลัง เขาจะเข้ามาในระบบของการเรียนรู้ แล้วจะกลายเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต”

ทั้งนี้ ผศ.เกียรติอนันต์ตระหนักว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเพิ่มทักษะและศักยภาพคนจำนวนมหาศาลซึ่งมาจากพื้นเพแตกต่างกัน แต่เขาก็ยังเน้นย้ำถึงการใช้ Big Data ช่วยจัดการทรัพยากรมนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ “มีงานวิจัยที่ผมทำไว้ประมาณสัก 5 ปีก่อน ถ้าจะขยับประเทศไทยไปข้างหน้าได้ เราต้องปรับหรือเพิ่มทักษะคนทำงานประมาณ 10-12 ล้านคน ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลย ถ้าจะทำเรื่องนี้ให้ได้ มันต้องมีกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายมาก และหลังจากฝึกเขาแล้ว [จะพาพวก] เขาไปอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้น [ต้องมี] การใช้ Big Data จับคู่ธุรกิจที่ขาดคน กับคนที่เสี่ยงว่าตกงานในอนาคตแต่มีทักษะบางอย่างซึ่งไปด้วยกันได้ แล้วมีหน่วยงานกลางเข้าไปแทรกเพื่อเปลี่ยนคนเหล่านี้ให้กลายเป็นที่ต้องการของธุรกิจซึ่งกำลังมองหาคนให้ได้”

แม้ปัญหาการตกงานของคนไทยจะยังไม่ลดความรุนแรงลงในเร็ววัน แต่หากทุกภาคส่วนบูรณาการความร่วมมือ สร้างเสริมทักษะที่จำเป็นต่อโลกตามยุคสมัยพร้อมกับสร้างตลาดงานที่ไม่ลดทอนคุณค่าทรัพยากรมนุษย์ ปัญหาดังกล่าวอาจบรรเทาลงไปได้ 

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ การแนะแนวในรั้วโรงเรียนที่จะช่วยให้เด็ก ๆ รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าชอบหรือเหมาะกับสิ่งใด เมื่อเรียนจบม.3 ตามหลักสูตรขั้นพื้นฐาน พวกเขาจะได้พอเห็นแนวทางว่า ควรเลือกเรียนสายสามัญต่อหรือสายอาชีวะ และหากเด็กอยากจะเรียนมหาวิทยาลัยต่อ ก็ต้องแนะแนวพวกเขาตามความเหมาะสมและปล่อยให้พวกเขาได้ “เลือกอนาคต” ของตัวเอง

อ่านและชมเนื้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจากเครือ Thai PBS

อ้างอิง

แท็กที่เกี่ยวข้อง

มหาวิทยาลัยTCASตกงานเด็กจบใหม่ปัญหาการว่างงาน
พีรชัย พสุทันท์
ผู้เขียน: พีรชัย พสุทันท์

ศิษย์เก่าจากอักษร จุฬาฯ และโปรแกรมอีราสมุส มุนดุสด้านวรรณกรรมยุโรป ผู้ชอบพาตัวเองไป (หลง) อยู่ในกระแสธารของพหุภาษาและพหุวัฒนธรรม และยังคงเรียนรู้ที่จะเติบโตในทุก ๆ วัน I porrorchor.com

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด