แบทแมน ซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อดังปรากฏตัวในโลกภาพยนตร์มาแล้วหลายเวอร์ชัน แต่ครั้งหนึ่งที่สร้างปรากฏการณ์ได้ไม่น้อยกว่าครั้งไหน ๆ นั่นคือ Batman Forever ที่ได้ “วัล คิมเมอร์ (Val Kilmer)” ดาวรุ่งที่แจ้งเกิดจากบทสมทบขโมยซีนในภาพยนตร์เรื่อง Top Gun มาสวมบทบาท และหลังจากนั้น เขาก็เดินสู่บันไดความโด่งดังในฐานะพระเอกรูปงามคนหนึ่งของยุค 90

จากข่าวการจากไปของ วัล คิมเมอร์ ในวัย 65 ปี Thai PBS จึงชวนย้อนดูเรื่องราวของ Batman Forever ซึ่งเป็นผลงานครั้งสำคัญของนักแสดงเจ้าบทบาทคนนี้ โดยว่ากันว่า แบทแมนเวอร์ชันนี้ ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย ทว่าหนังกลับทำรายได้สูงสุดอันดับ 6 ของปีที่เข้าฉาย และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกหลายสาขาอีกด้วย

1. Batman Forever นำแบทแมนจากโลกมืดหม่นสู่โลกแห่งสีสัน

ภาพยนตร์แบทแมน 2 ภาคก่อนหน้าได้แก่ Batman (1989) และ Batman Return (1992) ของผู้กำกับทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) มีการนำเสนอแบทแมนในโทนที่ดูมืดหม่น เป็นเหมือนหนังอาชญากรรมที่มีส่วนผสมของคาแรกเตอร์จากคอมมิกที่ลงตัว ประสบความสำเร็จทั้งเสียงวิจารณ์และรายได้ ทำให้มีการสร้างภาคต่ออย่างรวดเร็วในชื่อ Batman Forever (1995)

ทว่าแม้จะได้ชื่อว่าเป็นภาคต่อจากค่ายหนังเดียวกันอย่าง วอร์เนอร์ บาร์เธอร์ แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป โดยทิม เบอร์ตัน ขยับขึ้นไปเป็นโปรดิวเซอร์ ขณะที่ได้ โจเอล ชูมักเกอร์ ผู้กำกับมากพรสวรรค์คนหนึ่งของวงการมาแทนที่ พร้อมนักแสดงหนุ่มรูปงามอย่าง วัล คิมเมอร์มารับบทนำ พร้อมดาราสมบทชื่อดังแห่งยุค ไล่มาตั้งแต่ จิม แคร์รีย์ (Jim Carrey), ทอมมี ลี โจนส์ (Tommy Lee Jones) และนิโคล คิดแมน (Nicole Kidman) ปรับโทนของสีสันในเรื่องให้ดูสว่างขึ้น มีสีสัน กลายเป็นการนำพาแบทแมนแห่งโลกภาพยนต์ที่ดูมืดหม่น สู่โลกที่ดูมีสีสันแต่ก็เป็นที่ถกเถียงอย่างมากในเวลาต่อมา

2. Batman Forever ชุดแบทแมนแรกที่มี “หัวนม” ต้นแบบจากคอมมิค

จุดขายหนึ่งของหนังแบทแมนคงหนีไม่พ้น Batsuit หรือชุดแบทแมนที่แต่ละเวอร์ชัน สะท้อนการออกแบบของแต่ละยุคสมัย บางยุคมีสีสัน บ้างยุคก็มืดหม่น แต่ชุด Batsuit ที่มีเอกลักษณ์ที่หลายคนจดจำได้ ต้องมีชุดจาก Batman Forever เนื่องจากเป็นจุดที่เพิ่ม “หัวนม” เข้าไปบริเวณหน้าอกของชุดด้วย

จอส เฟอร์นานเดซ (Jose Fernandez) นักออกแบบผู้อยู่เบื้องหลังเผยในเวลาต่อมาว่า เขาเป็นคนเติมหัวนมในชุดดังกล่าว โดยได้แรงบันดาลใจจากนักรบโรมันโบราณ ที่มักจะพ่นสีใส่ร่างกายและโชว์สัดส่วนชัดเจน

“ชุดแบทแมนฉบับวัล คิมเมอร์ ใน Batman Forever หัวนมคือสิ่งหนึ่งที่ผมเติมเข้าไป มันไม่ใช่เพราะความชอบเฉพาะจุดของผม แต่มันมาจากชุดเกราะโรมัน และตัวละครซุปเปอร์ฮีโร่ในคอมมิคมักจะดูเหมือนตัวเปลือยเปล่าและพ่นสีทับตลอดเวลาอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องของการโชว์สัดส่วนกล้ามเนื้อทั้งหมด และผมชอบที่จะทำให้กล้ามเนื้อเหล่านั้นเด่นชัดออกมา ไม่รู้ว่าตอนนั้นผมคิดอะไรอยู่ แต่นั่นคือสิ่งที่ผมจำได้ ผมไม่รู้เลยว่าไอเดียนี้จะมาลงเอยด้วยการเป็นเรื่องราววุ่นวายใหญ่โต”

3. Batman Forever วัล คิมเมอร์ไม่ชอบรับบทแบทแมน

Val (2021) สารคดีเล่าเรื่องราวชีวิตของวัล คิมเมอร์ ได้มีช่วงหนึ่งที่เผยถึงสาเหตุที่เขาไม่ชอบการรับบทแบทแมน ในหนัง Batman Forever เอาไว้ว่า เขารู้สึกผิดหวังที่ผลกระทบจากชุดแบทแมนส่งผลต่อการแสดงของเขาเป็นอย่างมาก

“ในวัยเด็กทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้นและอยากเล่นเป็นแบทแมน แต่เมื่อผมได้เล่นเป็นแบทแมนจริง ๆ ผมก็ได้รู้แล้วว่า ทุกคนอยากเป็นแบทแมน แต่คงไม่อยากแสดงเป็นแบทแมนในหนังกันหรอก”

ส่วนหนึ่งมาจากการสวมใส่ชุดแบทแมนในหนังนั้นยากมาก เขาขยับตัวได้อย่างจำกัด การยืนนั่งหรือเดินจำเป็นจะต้องได้รับการช่วยเหลือ การได้ยินเสียงก็ถูกจำกัด ยิ่งทำให้เขาแปลกแยกจากทีมงานระหว่างการถ่ายทำ และส่งผลต่อการแสดงที่ถูกลดบทบาทลง การแสดงอารมณ์ต่าง ๆ แทบทำไม่ได้ มีเพียงชุดแบทแมนที่ทำหน้าที่ทั้งหมดแทนเขา

Batman Forever หนึ่งในผลงานที่หลายคนจดจำของวัล คิมเมอร์

4. Batman Forever หนังแบทแมนภาคที่โดนประเมินต่ำเกินไป

Batman Forever มักถูกพูดถึงในฐานะของหนังที่เต็มไปด้วยข้อถกเถียง โดยเฉพาะในแง่มุมคำถามที่ว่า มันเป็นหนังที่ดีหรือไม่ ? ในช่วงเวลาที่หนังออกฉาย แฟนหนังแบทแมนฉบับ Tim Burton ต่างไม่พอใจกับโทนการนำเสนอที่หนังเป็น เมื่อรวมกับที่ชุดแบทแมนมีหัวนม จึงยิ่งถูกโจมตีหนัก

เมื่อปี 2020 หลังการจากไปของยอดผู้กำกับอย่าง โจเอล ชูมักเกอร์ เกิดกระแสการกลับมาสำรวจดู Batman Forever อันเป็นผลงานที่ผู้คนถกเถียงกันมากมาย ซึ่งทำให้พบว่า หนังถูกประเมินต่ำเกินไป โดยให้เหตุผลว่า ตัวหนังสร้างภาพจำให้กับแบทแมนยุคใหม่ได้ มีการแสดงที่โดดเด่นของตัวร้าย ขณะที่ วัล คิมเมอร์ แม้จะไม่ได้โดดเด่นด้านอารมณ์ที่รุนแรงเข้มข้นอย่างฉบับของคริสเตียน เบล (Christian Bale) หรือเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ขัดแย้งซับซ้อนอย่างฉบับ ไมเคิล คีตัน (Michael Keaton) แต่แบทแมนในแบบฉบับของวัล คิมเมอร์ก็เป็นแบทแมนที่เก็บซ่อนแผลในวัยเด็ก สะท้อนมิติในเชิงลึกที่สำรวจไปในฝันร้ายของบรูซ เวย์น ตัวละครแบทแมนนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีเส้นเรื่องอันน่าสนใจของโรบิน คู่หูของแบทแมน รวมไปถึงงานออกแบบที่เปลี่ยนให้ “ก็อตแธม” เป็นเมืองสีนีออน พร้อมทั้งปรับโทนทำให้หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องนี้ สามารถเข้าถึงกลุ่มเด็ก ๆ ได้ จากที่เวอร์ชันก่อนหน้า แบทแมนดูจะไม่เป็นที่สนใจของเด็ก ๆ มากนัก เพราะเด็ก ๆ ไม่ได้ต้องการลงลึกไปในรายละเอียด แต่ต้องการแอ็คชันสนุก ๆ รวมทั้งตัวละครนำที่สามารถเอาชนะอุปสรรคได้แบบเข้าใจง่าย ๆ เท่านั้น

5. Batman Forever เดิมทีผู้กำกับอยากสร้างให้มืดหม่นกว่า ลึกซึ้งกว่า แต่ถูกตัดทิ้ง

Batman Forever มีฉบับ Director’s Cut หรือ Extended Cut ของโจเอล ชูมักเกอร์ อยู่ด้วย ทว่าหนังเวอร์ชันดังกล่าวถูกตัดออกเนื่องจากมีความมืดหม่นกว่า ทำให้มีหลายฉากที่น่าสนใจหายไป อาทิ ฉากการหนีจากโรงพยาบาลของทูเฟส (Two-Face), ฉากริดเลอร์ (Riddler) บุกเข้าทำค้างคาว หรือฉากลงลึกในจิตใจของบรูซ เวย์น ก่อนตัดสินใจเป็นแบทแมน เป็นต้น

โดยหนังเวอร์ชันดังกล่าว มีความยาวมากกว่าเดิมถึง 40 นาที และมีการสำรวจไปในสภาวะจิตใจของแบทแมนเป็นหลัก โดยมีประเด็นพูดถึงการสำนักบาปที่มีความซับซ้อน แต่ในขั้นตอนของการทดลองฉากกลับพบว่า ผู้คนไม่สนใจประเด็นนี้มากนัก ทางสตูดิโอจึงได้ตัดประเด็นเหล่านั้นออกไป

ไม่ว่าจะเป็น “แบทแมน” ในเวอร์ชันใด ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือภาพยนตร์ที่อยู่ในความสนใจของผู้คนเสมอ และการเข้ามารับบทบาท “แบทแมน” ของ วัล คิมเมอร์ ในเวอร์ชัน Batman Forever จะอยู่ในความทรงจำของผู้คนตลอดไปเช่นกัน...

อ้างอิง