กรมสรรพสามิต คาดว่า จะมีผู้เข้ายื่นขอคืนภาษี ในโครงการรถคันแรกกว่า 1,250,000 คัน ตามข้อมูลที่ปรากฎจากการยื่นเอกสาร ร้อยละ 70 เป็นผู้ที่มีทะเบียนอยู่ในต่างจังหวัด และ ร้อยละ 30 ที่มีทะเบียนอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล นั่นหมายความว่าไม่เกิน 2 ปีนี้ จะมีรถกว่า 375,000 คัน ที่จะมาวิ่งบนบนท้องถนนที่มีอยู่อย่างจำกัด ไม่นับรวมกับรถในโครงการรถคันแรกในพื้นทีกรุงเทพฯ โดยหลังจากนี้บริษัทรถยนต์จะทะยอยส่งมอบรถยนต์ในโครงการรถคันแรก
สำนักงานขนส่งและแผนการจราจร ระบุว่า ในแต่ละวันถนนในเขตกรุงเทพมหานคร จะมีรถยนต์เพิ่มขึ้น 1,100-1,200 คันต่อวัน ซึ่งเชื่อว่าการจราจรจะติดขัดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วน ภาพใหญ่ของการแก้ปัญหาจราจรคือการเร่งขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ แต่จะแล้วเสร็จก็อย่างน้อยในปี 2559
ปัญหารถติดในเมืองหลวง ยังส่งผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นักวิชาการประเมินว่า การเผาผลาญน้ำมัน และ การปล่อยกาซคาร์บอนไดออกไซด์จะเพิ่มขึ้น ส่งผลมลภาวะอากาศเป็นพิษ คิดเป็นมูลค่ากว่าร้อยละ 1 ของจีดีพี หรือไม่ต่ำกว่า 1,300 ล้านบาท และนอกเหนือการต้องเผชิญกับจราจรติดขัด ผู้ขับขี่รถยนต์ยังต้องมีค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่ารถ ค่าประกันรถ ค่าน้ำมันรถ ค่าผ่านทาง และการเดินทางที่ยาวนานจากรถติดขัดอาจนำไปสู่ภาวะการเดินทางหยุดชะงัก ซึ่งจะมีความสูญเสียตามมา
กรมสรรพสามิต ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ต้องคืนภาษีรถยนต์ ยอมรับว่า ทุกทุกนโยบายย่อมมีผลทั้งทางบวกและทางลบ แต่หากมองในเชิงบวกก็จะเห็นวินัยในการบริหารรายได้ ให้เพียงพอกับรายจ่ายที่ต้องเพิ่มมากขึ้น จากการเป็นเจ้าของรถคันแรก กรมสรรพสามิต ประเมินว่า งบประมาณคืนภาษีจากโครงการรถยนต์คันแรกจะสูงถึงกว่า 86,000 ล้านบาท มากกว่าที่ตั้งวงเงินไว้ที่ 30,000 ล้านบาท แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบกับรายได้ของกรมสรรพสามิตในปีหน้า แต่หลังจากนี้
หลายฝ่าย คงต้องประเมินสถานการณ์และผลกระทบ ที่เกิดขึ้นจากโครงการรถยนต์คันแรก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการจราจร ที่แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในมิติต่างๆ และยังต้องจับตามองว่าโครงการนี้จะนำไปสู่หนี้เสีย หรือ หากเจ้าของรถยนต์ไม่สามารถแบกรักภาระการผ่อนชำระรายเดือนได้
วันนี้กรมสรรพสามิตปิดรับการยื่นเอกสารในโครงการรถคันแรกไปแล้ว เมื่อเวลา 16.30 น. แต่ยังคงเปิดรับการยื่นเอกสารผ่านทางอินเตอร์เน็ต จนถึงเวลา 24.00 น. และสามารถนำเอกสารยื่นเพิ่มเติมกับสรรพสามิตได้จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2556