พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงการสอบสวนนายซูซู นักธุรกิจสัญชาติจีน ที่เรียกมาสอบสวน หลังพบว่านายซูซูเป็นผู้จัดหาซิมการ์ดให้กับกลุ่มผู้ต้องหา แต่ขณะนี้พบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ต้องหาที่จับได้ก่อนหน้านี้ ส่วนที่นายซูซูมีซิมการ์ดจำนวนมาก เนื่องจากเอาไว้ใช้ในธุรกิจและทุกคนสามารถซื้อไว้ได้ ขณะที่กลุ่มผู้ต้องหาอ้างว่าหลังจากปล้นปืนได้จะนำไปขายต่อในตลาดมืดที่ประเทศจีน โดยจะนำปืนออกไปทางชายแดนทางภาคเหนือและผ่านทางประเทศลาว เพราะในประเทศจีนปืนมีราคาแพงประมาณ 500,000 - 1,000,000 บาท
พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่า นายซูซูเข้าออกประเทศไทย 17 ครั้ง โดยครั้งแรกเข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยว ต่อมาได้ขออนุญาตทำงานในประเทศไทยและจะหมดอายุในวันที่ 27 ส.ค.2559 แต่หลังจากพบว่าเป็นผู้จัดหาซิมการ์ดให้กับกลุ่มผู้ต้องหา สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจึงเห็นว่าจะเป็นภัยต่อสังคมไทย จึงเพิกถอนใบอนุญาตให้อยู่ต่อในราชอาณาจักรไทยและผลักดันกลับประเทศจีน ส่วนจะสามารถกลับเข้ามาในประเทศไทยได้อีกหรือไม่จะต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการ ซึ่งต้องเว้นระยะห่างเป็นเวลา 5 ปี
ขณะที่พนักงานสอบสวนตำรวจนครบาลสำราญราฎร์ คุมตัวนายเจิ้ง หยาง ผู้ต้องหาที่ถูกซัดทอดว่าเป็นหัวหน้าทีมปล้นฝากขังต่อศาล หลังถูกแจ้งข้อหาปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธ, พยายามฆ่า, พกพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรและครอบครองวิทยุสื่อสารคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมคัดค้านการประกันตัว ซึ่งจากนี้จะส่งตัวเข้าไปควบคุมในเรือนจำ