จากกรณี นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล โฆษกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โพสต์แจ้งผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับค่ารังสียูวีในประเทศไทยที่กำลังอยู่ในระดับอันตรายสูงสุดในโลก หรือระดับ 12 ในช่วงวันที่ 14-17 เม.ย. 2559 โดยอ้างข้อมูลจากเว็บไซต์พยากรณ์อากาศของอังกฤษ (www.weatheronline.co.uk) และแนะนำให้อยู่แต่ในที่ร่มในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. ถ้าออกข้างนอกให้ใส่หมวก ใส่เสื้อแขนยาว ใส่แว่น กางร่ม และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30+
วันนี้ (14 เม.ย. 2559) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากการตรวจสอบเว็บไซต์พยากรณ์อากาศดังกล่าว พบการเตือนค่ารังสียูวีในเขต กทม. ประเทศไทย (Bangkok UV Index) อยู่ในขั้นอันตรายจริง โดยระบุว่าในวันที่ 14-17 เม.ย. 2559 กทม.จะมีค่ารังสียูวีสูงสุดระดับที่ 12 จากทั้งหมด 1-12 ระดับ
ขณะที่ เว็บไซต์ศูนย์ตรวจวิเคราะห์โอโซนและรังสี สำนักตรวจและเฝ้าระวังสภาวะอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา (ozone.tmd.go.th) ระบุว่า วันนี้ (14 เม.ย.) และตลอดเดือน เม.ย. 2559 ค่ารังสียูวีในภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.อุบลราชธานี และภาคกลาง กทม. อยู่ในระดับ 10 เท่านั้น ส่วนภาคกลางตอนล่าง จ.ประจวบคีรีขันธ์ และภาคใต้ จ.ชุมพร อยู่ระดับ 11+
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ข้อมูลจากเว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลก (www. www.who.int/uv) อธิบายถึงค่า ยูวี อินเด็กซ์ (UV Index) ว่า คือค่าดัชนีชี้วัดเพื่อบ่งบอกปริมาณของความเข้มของรังสียูวีที่ถูกส่งมายังพื้นโลกในแต่ละวัน มีค่าตั้งแต่ 0-11+ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อค่าดัชนีคือความหนาแน่นของกลุ่มเมฆ
ในส่วนของประเทศไทยค่ารังสียูวีอยู่ที่ 8-12 โดยขึ้นอยู่กับฤดูกาลและภูมิอากาศในแต่ละสถานที่ เมื่อประมาณการโดยเฉลี่ยในเดือน ม.ค. ค่ารังสียูวีอยู่ระดับที่ 8 เดือน ก.พ. ระดับ 10 เดือน มี.ค.-เม.ย. ระดับ 12 เดือน พ.ค. ระดับ 11 เดือน มิ.ย.-ส.ค. ระดับ 12 เดือน ก.ย. ระดับ 10 เดือน ต.ค. ระดับ 11 และเดือน พ.ย.-ธ.ค. อยู่ระดับ 8
ส่วนวิธีการป้องกันผิวหนังจากรังสียูวีตามค่าความเข้มที่ถูกวิธี เว็บไซต์องค์การอนามัยโลกให้ข้อมูลว่า หากค่ายูวี อินเด็กซ์ อยู่ในระดับ 0-2 สามารถออกนอกบ้านโดยไม่ต้องป้องกัน ในระดับ 3-7 เมื่อออกนอกบ้านควรสวมเสื้อ ทาครีมกันแดด สวมหมวก และหลบในที่ร่มระหว่างวัน
แต่ถ้าเป็นระดับ 8+ เมื่อออกนอกบ้านต้องปกป้องผิวด้วยการสวมเสื้อ สวมหมวก ทาครีมกันแดด สวมแว่นตากันแดด และอยู่ในที่ร่ม หรือเลี่ยงการนอกบ้านระหว่างวัน เพื่อป้องกันผิวอักเสบ บวมแดง ไหม้ และลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังที่มีรังสียูวีเป็นปัจจัยกระตุ้น