วันนี้(8 พ.ค.2560) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง.ทำหนังสือด่วน ขอให้กรมธนารักษ์ เพื่อขอให้ทบทวนการดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ ซอยพหลโยธิน 11 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ
โดยหนังสือที่นายพิสิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ส่งถึง นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ เพื่อขอให้ทบทวนโครงการดังกล่าว ระบุถึงความเห็นให้ทบทวนใน 4 ประเด็นประกอบด้วย การกำหนดเงื่อนไขในการประกวดโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐที่ไม่ครบถ้วนรอบด้าน
ทั้งนี้จากการตรวจสอบภายหลังพบว่าบริษัทปักกิ่ง เออร์บัน คอนสตรัคชั่น ยาไถ่ (ไทย) คอนสตรัคชัน กรุ๊ป จำกัด ผู้ชนะอันดับ 1 ได้โอนสิทธิการลงนามในสัญญา และการปฏิบัติตามเงื่อนไขการก่อสร้างไปให้บริษัท จูโน่ ปาร์คจำกัด ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับงานก่อ สร้างอาคาร เกิดความเสี่ยง อาจทำให้การดำเนินการโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐเกิดความเสียหาย และไม่บรรลุผลตามนโยบายของรัฐบาลได้
นอกจากนี้ ยังพบว่าการโอนสิทธิ์การก่อสร้างและการโอนสิทธิ์การเช่า อาจเป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นธรรมกับผู้เข้าเสนอโครงการรายอื่น หรือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทปักกิ่งฯ และบริษัทจูโน่ พาร์ค และอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของภาครัฐ พ.ศ.2542 หรือฮั้วประมูล
หนังสือ สตง.ยังระบุว่า กรมธนารักษ์ไม่ได้พิจารณาถึงความเหมาะสมของโครงการว่ามีความเหมาะสมกับพื้นที่ที่ตั้งของโครงการหรือไม่ และจะมีผลกระทบต่อสภาพความแออัดและมล ภาวะหรือไม่ เนื่องจากบริเวณที่ตั้งโครงการอยู่ในซอยแคบ ความกว้างของถนนแค่เพียงรถยนต์สวนกันได้เท่านั้น อาจส่งผลกระทบต่อการจราจรในบริเวณนั้นหรือบริเวณใกล้เคียง
อีกทั้งยังอยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูลรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสภาพการจราจรเพิ่มเติม แสดงให้เห็นว่าโครงการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังพบว่ายังไม่ได้ขอความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ก่อสร้างโครงการ สตง.จึงเห็นควรให้กรมธนารักษ์พิจารณาทบทวนการดำเนินการโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐดังกล่าว เพื่อมิให้เกิดความเสียหาย
ด้าน นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวว่า การดำเนินการใดๆ คงต้องยึดหลักกฎหมาย ส่วนโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐในซอยพหลโยธิน 11 จะเกิดขึ้นหรือไม่ เป็นเรื่องของทางกรุงเทพมหานคร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นกรมธนารักษ์ต้องรอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้ขาดมาก่อนว่า จะให้เดินหน้าหรือยกเลิกโครงการ