หลังเกิดเหตุระเบิดในโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า โรงพยาบาลในสังกัดกองทัพและตำรวจ ปรับเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยโดยเฉพาะช่วงเวลายามวิกาล หลังเกิดเหตุระเบิดในโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช เฝ้าระวังและตรวจตราตามจุดต่างๆรอบโรงพยาบาลเข้มงวดมากขึ้น เช่น บริเวณทางเข้า-ออก จุดห้องฉุกเฉินที่มีผู้ป่วย และญาติมาใช้บริการจำนวนมาก รวมถึงการตรวจสอบความพร้อมของกล้องวงจรปิดทุกจุดตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ น.อ.ทวีพงษ์ ปาจารีย์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ยอมรับว่า กังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะในแต่ละวัน มีผู้ป่วยและญาติมารักษาที่โรงพยาบาลมากกว่า 10,000 คนต่อวัน ทำให้ตรวจสอบรถหรือผู้ใช้บริการไม่ได้ทุกคน แต่ก็จะประชาสัมพันธ์เสียงตามสายให้ผู้ป่วยและญาติช่วยกันเฝ้าระวัง โดยเฉพาะสัมภาระที่ไม่มีคนดูแล ให้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ทันที ด้านประชาชนที่มาใช้บริการระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าจะเกิดขึ้นที่โรงพยาบาล เพราะถือว่าเป็นจุดที่มีประชาชนมาใช้บริการจำนวนมาก
ขณะที่โรงพยาบาลตำรวจ มีการปรับความเข้มงวดของมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ทั้งการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงการตรวจดูกล้องวงจรปิดและประสานข่าวจากตำรวจสันติบาลต่อเนื่อง ซึ่ง พล.ต.ท.วิฑูรย์ นิติวรางกูร นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้เฝ้าระวังทั่วพื้นที่ แม้ปกติจะมีเวรยาม 2 ระบบ คือ ระบบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและเจ้าหน้าที่รักษาพยาบาล ตลอด 24 ชั่วโมงแล้งก็ตาม ส่วนที่กังวลและคาดว่าอาจเป็นช่องว่างให้ผู้ก่อเหตุแฝงตัวเข้ามาในพื้นที่ได้คือช่วงรอยต่อของเวร หรือช่วงเวรยามอ่อนล้า คือเวลา เช้าตรู่ จึงกำชับเจ้าหน้าที่ให้ระวังมากที่สุด
ขณะที่ พล.ต.ต.วิระ จิรวีระ ผู้บังคับการกองอำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ ระบุว่า นอกจากนี้ยังมีกล้องวงจรปิด 190 ตัวและกล้องของหน่วยงานต่างๆในพื้นที่ ในช่วงยามวิกาล จะเน้นที่ประตู ทางเข้า-ออก ของโรงพยาบาล พร้อมๆ กับการจัดเวรยามแน่นหนามากขึ้นเพื่อช่วยกันสังเกตบุคคลเข้า-ออก รวมถึงยานพาหนะเข้า-ออก ขณะนี้ยังไม่มีรายงานความผิดปกติ หรือกลุ่มบุคคลน่าสงสัยในระแวกนี้ แต่ก็ไม่นิ่งนอนใจ