อิทธิพล เอี่ยมเชย ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส ตรวจสอบในพื้นที่เกิดเหตุ พบพยานปากสำคัญ 2 คน คนหนึ่งยืนยันว่าเห็นผู้ตายหลังจากถูกแทงแล้วอีกคนหนึ่งยืนยันว่าเห็นผู้ตายถูกรุมทำร้าย ในขณะที่กล้องวงจรปิดหันทิศทางไม่ตรงกับจุดเกิดเหตุ
ถนนประชาสงเคราะห์ซอย 1 คือจุดเกิดเหตุ ที่นายธนิต คัฬหสุนทร ถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิตในคืนวันที่ 15 เม.ย.59
ทีมข่าวไทยพีบีเอสสอบถามข้อมูลกับวินจักรยานยนต์ภายในซอยทราบว่า ที่เกิดเหตุอยู่ใกล้กับวิน ปัจจุบันเป็นที่จอดรถ
ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ช่วงที่เกิดเหตุเวลาประมาณ 22.30 น.กลุ่มผู้เสียชีวิต และกลุ่มผู้ต้องสงสัยมาด้วยกันประมาณ 20 คน นั่งอยู่ข้างร้านอาหารใกล้ปากซอย ซึ่งเป็นจุดเล่นน้ำสงกรานต์ จากนั้นกลุ่มบุคคลที่มาด้วยกันประมาณ 4-5 คน ดึงตัวผู้เสียชีวิตเข้าไปในซอยไม่นานก็เห็นผู้เสียชีวิตเดินออกมา มีเลือดไหลบริเวณคอ ก่อนเรียกให้เพื่อนที่จอดรถจักรยานยนต์รออยู่หน้าปากซอยนำตัวส่งโรงพยาบาล
ชาวบ้านในพื้นที่กล่าวว่า "ผู้เสียชีวิตเดินออกมาแล้ว โดยเดินมาคนเดียว กล้องวงจรปิดของกทม.น่าจะเห็น เพราะน้องเดินจับคอมาหน้าปากซอยระยะก็ค่อนข้างไกลมีเลือดไหลและมาซ้อนรถมอเตอร์ไซค์เพื่อนพาไปส่งโรงพยาบาล "
คำบอกเล่าของชาวบ้านมีข้อมูลสอดคล้องกับหนึ่งในพยานฝ่ายผู้เสียชีวิตที่เบิกความต่อศาล ว่า เห็นกลุ่มผู้ต้องสงสัย 4 - 5 คน รุมทำร้ายร่างกายผู้เสียชีวิต ก่อนหลบหนี
นอกจากประจักษ์พยานที่เป็นบุคคลแล้ว คดีนี้มีวัตถุพยานหลักฐานกล้องวงจรปิด ตามที่ตำรวจกล่าวอ้าง ไทยพีบีเอสตรวจสอบพบว่ากล้องวงจรปิดตัวแรกติดอยู่หน้าปากซอยประชาสงเคราะห์ 1 มุมกล้อง 3 ตัว หันออกไปที่ถนนมีเพียง 1 ตัวที่จับภาพเข้ามาบริเวณหน้าปากซอย ตัวที่ 2 ตั้งอยู่ภายในซอย มุมกล้องจับภาพเข้าไปในซอยเลยจุดที่เกิดเหตุ คดีนี้เจ้าหน้าที่จึงไม่มีหลักฐานในขณะที่เกิดเหตุ
การต่อสู้คดีของครอบครัวผู้เสียชีวิต นำพยานเข้าให้ปากคำกับตำรวจ และนำกล้องวงจรปิดที่จับภาพขณะที่กลุ่มผู้ต้องสงสัยเดินเข้าไปในซอย ใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาล แต่เนื่องจากประจักษ์พยานที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์มีอาการป่วยทางจิต และอยู่ระหว่างการรักษา ส่วนพยานหลักฐานอื่นยังมีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะฟังลงโทษจำเลยได้ เช่น ภาพกล้องวงจรปรากฎในชั้นศาลไม่สามารถจับภาพขณะเกิดเหตุได้ พยานปากอื่นซึ่งไม่เห็นเหตุการณ์ขณะที่เกิดเหตุ เมื่อพิจารณาจากหลักฐานแล้วจึงมีคำสั่งยกฟ้อง
ครอบครัวของผู้เสียชีวิตยังเปิดเผยว่า ตลอดการต่อสู้คดี 2 ปี ต้องหาหลักฐานเองเป็นส่วนใหญ่ และบอกว่าหากตำรวจมีความพยายามหาหลักฐานกว่านี้ น่าจะสามารถนำคนก่อเหตุมาดำเนินคดีได้
ด้าน พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เปิดเผยว่า หลังจากนี้ให้ชุดทำงานที่แต่งตั้งขึ้นมารวบรวมข้อมูลและ ปรึกษาอัยการในการอุทธรณ์เพื่อให้ความเป็นธรรม สำหรับประวัติผู้ต้องสงสัย พบว่ามีคดีผลิตยาเสพติด ถูกจับดำเนินคดีที่สถานีตำรวจสุทธิสาร เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.59 ด้วย