วันนี้ (1 ต.ค.2561) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร่างพระราชบัญญัติจัดเก็บเงินสมทบเพื่อสนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขของหน่วยงานบริการภาครัฐในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดย ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เชื่อว่า การจัดเก็บเงินสมทบจากภาษีบุหรี่อีกซองละ 2 บาท เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จะช่วยแก้ปัญหาขาดสภาพคล่องของโรงพยาบาลต่างๆ และอาจเป็นแรงจูงใจให้คนอยากเลิกบุหรี่เนื่องจากมีการเก็บเงินสมทบจากผู้สูบบุหรี่โดยตรง
ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติจัดเก็บเงินสมทบเพื่อสนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขของหน่วยงานบริการภาครัฐในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทางกระทรวงสาธารณสุขส่งไปให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่ยังไม่นำเข้าคณะรัฐมนตรีวันพรุ่งนี้โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขบอกว่าการจัดเก็บเงินสมทบจากภาษีบุหรี่ เป็นกลไกการเพิ่มงบประมาณด้านสาธารณสุขปีละประมาณ 4 พันล้านบาท ทำให้กระทรวงไม่ต้องของบกลางเพิ่มจากรัฐบาล และยังทำให้โรงพยาบาลมีสภาพคล่องมากขึ้น
ขณะที่ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ บอกว่า ในปี 2562 รัฐบาลจัดสรรงบประมาณกองทุน สปสช.โดยหักเงินเดือนบุคลากรด้านสาธารณสุขไปแล้ว ทำให้เหลืองบเข้ากองทุน สปสช.จำนวน 134,269 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ประมาณ 8 พันล้านบาท แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการให้บริการผู้ป่วย รวมทั้ง ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
ดังนั้น การขึ้นภาษีบุหรี่เพื่อนำเข้ากองทุน สปสช.จึงเป็นแนวคิดหารายได้เพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยให้สภาวะขาดทุนของโรงพยาบาลต่างๆ ดีขึ้น แต่การพิจารณาว่าโรงพยาบาลใด จะได้รับงบประมาณส่วนนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบอร์ด สปสช.
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยอมรับว่าการจัดเก็บภาษีบุหรี่เพิ่มอีกซองละ 2 บาท อาจกระทบกับอุตสาหกรรมบุหรี่ทั้งระบบ ทั้งการยาสูบแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการบุหรี่นำเข้า และคาดว่ากระทรวงสาธารณสุขมีความจำเป็น เพราะเงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องหาแหล่งเงินเพื่อแก้ปัญหานี้