วันนี้ (26 ธ.ค.61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า กรณีการตรวจสอบทรัพย์สินโดยเฉพาะนาฬิกาหรู ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเข้าสู่วาระการพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ในช่วงบ่ายวันนี้ และคาดว่าหลังการประชุมเสร็จสิ้น ป.ป.ช. จะแถลงมติให้ทราบ
แม้จะไม่ได้เข้าร่วมในการพิจารณารายงานการแสวงหาข้อเท็จจริง การถือครองนาฬิกาหรู จำนวน 22 เรือนและแหวนเพชร ของ พล.อ.ประวิตร แต่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.ยืนยันว่า วันนี้มีวาระการพิจารณาเรื่องดังกล่าว ซึ่งรายละเอียดของมติที่ประชุม เลขาธิการ ป.ป.ช.จะเป็นผู้แถลงชี้แจงในวันนี้เวลา 18.00 น.
ในการประชุมวาระดังกล่าวเมื่อ พล.ต.อ.วัชรพล ถอนตัวจากการพิจารณา ทำให้การดำเนินการพิจารณาเรื่องดังกล่าว มีบุคคลที่มีความอาวุโสสูงสุด ในที่ประชุมคือนายปรีชา เลิศกมลมาศ จะทำหน้าที่ประธานการพิจารณา ซึ่งประเด็นเรื่องการถือครองนาฬิกาหรูและแหวนเพชรของ พล.อ.ประวิตรนั้น คณะทำงานได้ติดตามทำรายงานมาตั้งแต่เมื่อต้นเดือน ธ.ค.ปี 2561 เป็นระยะเวลานานกว่า 1 ปี ที่สังคมติดตามรอความชัดเจน โดย ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบแสวงหาข้อเท็จจริง รวมถึงให้ พล.อ.ประวิตร ทำหนังสือชี้แจงที่มาและรายละเอียดของทรัพย์สิน กระทั่งพบว่าจากภาพของ พล.อ.ประวิตร ที่สวมใส่นาฬิกาหรู มีจำนวน 22 เรือน และมาจากการยืมเพื่อนเพียงคนเดียว ส่วนแหวนเพชร พบว่าเป็นของบิดาที่มารดาเก็บไว้
ขณะเดียวกันยังได้เชิญเอกชน ที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูล รวมถึงการขอรายละเอียดซีเรียลนัมเบอร์ของนาฬิกา จากบริษัทแม่ในต่างประเทศ ทั้งนี้การยื่นขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบกรณีนาฬิกาหรูจากผู้ร้องมีในหลายประเด็น ทั้งกรณีกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.อันเป็นเท็จ, กรณีการร่ำรวยผิดปกติ, การรับประโยชน์จากบุคคลอื่นเกิน 3,000 บาท โดยผู้ยื่นร้องประกอบด้วย นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย, นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน, นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ และนายเอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง
มีรายงานว่า ในการตรวจสอบมุ่งไปที่ 2 ประเด็น กรณีแรก คือ นาฬิกาเป็นชื่อของ พล.อ.ประวิตร หรือไม่ ถ้าเป็น อาจเข้าข่ายปกปิดแสดงบัญชีทรัพย์สิน หรือถ้าไม่ใช่ก็จะหมายถึงกรณีที่ 2 คือ อาจจะเข้าข่ายการรับทรัพย์สินเกิน 3,000 บาทหรือไม่