วันนี้ (19 ส.ค.2562) เวลา 17.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิพากษาว่า นายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีตผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาบิ๊กซีสุวินทวงศ์ จำเลยที่ 4 มีความผิดร่วมกันลักทรัพย์ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และปลอมกับใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา ส่วนนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด จำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) แต่ผู้เปิดบัญชีรับโอนเงินจากจำเลยที่ 4 มีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปตามมาตรา 335 โดยการกระทำของจำเลยที่ 4 และที่ 6 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ให้จำคุกนายทรงกลด ทั้งสิ้น 19 กระทง มีกำหนด 95 ปี และให้จำคุกนายกิตติศักดิ์ รวม 11 กระทง มีกำหนด 55 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วทั้งจำเลยที่ 4 และที่ 6 ให้จำคุกสูงสุดตามกฎหมาย คนละ 20 ปี ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 4 และที่ 6 ต่อจากคดีในศาลอาญามีนบุรีนั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 4 ได้จำคุกโทษสูงสุดแล้ว 50 ปี ส่วนจำเลยที่ 6 จำคุกสูงสุด 20 ปี จึงไม่อาจนับโทษรวมได้อีก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2 )
ส่วนค่าเสียหายทางแพ่งนั้น ปรากฏว่า เงินที่จำเลยที่ 4 เบิกถอนไปโดยทุจริตนั้น แม้เป็นเงินฝากบัญชีของ สจล.โจทก์ร่วมที่ 1 แต่ขณะเกิดเหตุถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ที่อยู่ในความครอบครองของธนาคารไทยพาณิชย์ฯ โจทก์ร่วมที่ 2 ซึ่งเงินของ สจล.นั้น ทางธนาคารได้ชดใช้ให้จนเป็นที่พอใจแล้ว จึงให้จำเลยที่ 4 ชดใช้เงินคืนธนาคารไทยพาณิชย์ฯ โจทก์ร่วมที่ 2 จำนวน 688,578,411.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่กระทำผิดแต่ละครั้งนับจากปี 2554, 2555, 2557 โดยให้จำเลยที่ 6 ร่วมกับจำเลยที่ 4 ชดใช้เงินในจำนวน 563,386,411.44บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่กระทำผิดแต่ละครั้งด้วย และให้จำเลยที่ 4, 6 ร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหายที่ 3 อีก 20 ล้านบาท นอกจากนี้ พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1, 2, 3, 4, 5, 7, 8
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าแม้ศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง จะยกฟ้องจำเลยที่ 2, 3, 4, 7, 8 แต่จำเลยดังกล่าวก็ยังต้องถูกคุมขังอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลางและเรือนจำคลองเปรม เนื่องจากถูกตัดสินโทษในคดีลักเงิน สจล.สำนวนแรกของศาลอาญามีนบุรี ซึ่งคดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์
ขณะที่นายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สจล. กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษาว่า ขอขอบคุณที่ให้ความเมตตาและให้ความยุติธรรม ซึ่งศาลพิเคราะห์ค่อนข้างละเอียด ขณะที่ที่เงินหายไปเป็นคณะกรรมการชุดก่อนและชุดหลัง ส่วนตัวเองเป็นอธิการบดีในช่วงกลาง โดยการที่ถูกฟ้องนั้นค่อนข้างไม่ยุติธรรมและมองว่าเป็นการถูกกลั่นแกล้ง อย่างไรก็ตามในศาลชั้นต้นทั้ง 2 ศาลพิพากษายกฟ้อง ก็รู้สึกดีใจที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการลักทรัพย์
ด้านนายพีรันธร วีระภรณ์พิมล ทนายความ กล่าวว่า ศาลพิพากษาว่านายถวิลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชีทั้ง 7 บัญชี และไม่มีส่วนเชื่อมโยงกับการทุจริต แต่จะมีประเด็นการเปิดบัญชีโดยไม่มีอำนาจในการเปิด แต่การไม่มีอำนาจในการเปิด พอสืบพยานเสร็จก็ทราบว่าทางนายทรงกลดได้นำเอกสารที่นายถวิลเซ็นไว้ตอนมีอำนาจมาใช้ ส่งผลให้เอกสารทั้งหมดที่ทำขึ้นมาเป็นการใช้เอกสารที่เป็นเท็จ ซึ่งขั้นตอนต่อไปต้องรอทางอัยการอุทธรณ์คดี เพราะทางอัยการฟ้องมา 8 คน ยกฟ้องไป 6 คน ก็ต้องเตรียมคำพิพากษา รอแก้อุทธรณ์ของอัยการต่อไป