วันนี้ (4 ก.ย.2562) เครือข่ายกะเหรี่ยงและชาวเลในประเทศไทย ออกแฉลงการณ์ กรณีการเสียชีวิตของบิลลี่ “นายพอละจี รักจงเจริญ” โดยระบุว่า ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และองค์กรที่เป็นคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้ร่วมกันแถลงข่าว เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2562 ยืนยันว่า สารพันธุกรรมชิ้นส่วนกระดูกที่พบใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน ตรงกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ มารดาของนายพอละจี หรือบิลลี่ นักปกป้องสิทธิชุมชนชาวกะเหรี่ยงที่ถูกอุ้มหายไปเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการพิจารณาจากสถานที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานอื่นประกอบ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จึงเชื่อว่า วัตถุดังกล่าวเป็นกระดูกของ “นายพอละจี รักจงเจริญ” หรือ “บิลลี่” ที่เสียชีวิตแล้ว โดยไม่ทราบวิธีที่ทำให้เสียชีวิต แต่นำมาเผาทำลายเพื่ออำพรางคดี อีกทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษยังได้ชี้ว่า พฤติการณ์ของกลุ่มคนร้ายที่กระทำผิดครั้งนี้เข้าข่ายลักษณะเป็นการฆาตกรรมโดยทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ
เครือข่ายกะเหรี่ยงและชาวเลในประเทศไทย ซึ่งได้มาร่วมประชุมเพื่อผลักดันมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 และ 2 มิถุนายน 2553 ให้มีผลในเชิงปฏิบัติเพื่อปกป้องและคุ้มครองวิถีชีวิตของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศไทย ขอแสดงข้อเรียกร้องต่อกรณีดังกล่าว ดังต่อไปนี้
1. ขอชมเชยและเป็นกำลังใจกับเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และองค์กรที่เป็นคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ที่ทุ่มเทการทำงานด้วยความมานะพยายามจนสามารถชี้วัตถุพยานหลักฐานสำคัญประกอบการสอบสวนในคดีอุ้มหาย “นายพอละจี รักจงเจริญ” หรือ “บิลลี่” อันจะมาซึ่งการคืนความเป็นธรรมให้แก่ครอบครัวและชุมชน รวมถึงเครือข่ายกะเหรี่ยงและทุกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ได้รับธรรมทั้งถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในหลายกรณีและถูกลิดรอนสิทธิด้านต่าง ๆ
2.จากความคืบหน้าอันเกิดจากพยานหลักฐานชิ้นสำคัญดังกล่าว ขอเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งรัดดำเนินการนำเอาตัวผู้กระทำผิดและผู้อยู่เบื้องหลังมาลงโทษโดยเร่งด่วน และเร่งให้เร่งดำเนินคดีกรณีการวางเพลิงเผาทรัพย์ชุมชนบ้านใจแผ่นดิน-บางกลอยบนกว่า 100 หลัง รวมทั้งบ้านปู่คออี้ ซึ่งไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการใด ๆ เลย
3.เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 สิงหาคม 2553 และ 2 มิถุนายน 2553 ในคุ้มครองวิถีชีวิตกะเหรี่ยงและชาวเลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดกรณีสิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมบ้านใจแผ่นดิน-บางกลอยบน ซึ่งบิลลี่ เป็นผู้ประสานงานในการฟ้องร้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจนได้รับชัยชนะในคดีศาลปกครองสูงสุด
4.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลมีกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการออกกฎหมายว่าด้วยการกระทำทรมานและการบังคับให้หายสาบสูญ ตามหลักสากลของสหประชาชาติว่าด้วย อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับซึ่งรัฐบาลไทยได้ลงนามแล้ว เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2555 แต่ยังไม่ได้เข้าเป็นภาคีจึงไม่มีสภาพบังคับอย่างใด
ทั้งนี้ เครือข่ายกะเหรี่ยงและชาวเลในประเทศไทยจะได้ติดตามความคืบหน้ากรณี “บิลลี่” ถูกอุ้มหายจนพบหลักฐานสำคัญว่าได้เสียชีวิตไปแล้วอย่างโหดเหี้ยม ให้ได้รับเป็นความธรรมโดยเร่งด่วน ทั้งการนำคนผิดมาลงโทษ การเยียวยาครอบครัวและออกกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิให้เกิดขึ้นโดยเร็วต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แอมเนสตี้ย้ำคนเกี่ยวข้องการเสียชีวิต "บิลลี่" ต้องได้รับโทษ
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ขอเร่งติดตามผู้กระทำผิดคดี "บิลลี่"
"ดีเอสไอ" ชี้ชัด "บิลลี่" ตาย - หลักฐานถูกเผา
สรุป! "บิลลี่" กับคดีเสียชีวิตปริศนา