วันนี้ (25 ก.ย.2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ และที่ปรึกษาของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เตรียมยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.พรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ในวันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน เวลา 09.15 น. เพื่อขอให้สอบสวนข้อเท็จจริง
โดยอ้างอิงพบข้อมูลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่ในปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ กรณีคดีฟ้องร้องที่ พศ.ถูกบริษัทเอกชนฟ้องในข้อหาผิดสัญญาเงินทดรองจ่าย โครงการแกนนำต่อต้านการทุจริตของ ปี 2557 ที่มีการนำเยาวชนจากสำนักงานศาลยุติธรรมจำนวน 30 คน และเยาวชนจากสำนักงาน ป.ป.ช. จำนวน 40 คน ไปศึกษาดูงานและปฏิบัติธรรมที่ประเทศอินเดีย ซึ่งข้อมูลอ้างอิงว่าบริษัทเอกชนไม่ได้รับเงินตามโครงการดังกล่าว
นายเรืองไกรอ้างอิงว่า อาจมีการใช้งบประมาณของ พศ.โดยไม่ถูกต้องจึงเกิดปัญหาการชำระหนี้ เห็นว่าควรมีการสอบหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าการใช้งบประมาณดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หรือใช้เงินงบประมาณผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ เนื่องจากขณะนี้ พศ.อยู่ระหว่างการตรวจสอบการใช้งบประมาณบางรายการในลักษณะที่มีการกล่าวหาว่ามีการใช้งบฯผิดวัตถุประสงค์ไปแล้วหลายกรณี
พร้อมกันนี้ ยังได้ยกตัวอย่างหมายเหตุประกอบงบการเงินว่ามีเอกสารการใช้จ่ายงบฯ ของ พศ.ขอให้ตรวจสอบด้วยว่ามีการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ ดังนี้ โดยอ้างข้อมูลว่าเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2554 สำนักงาน ป.ป.ช.ขอรับสนับสนุน จาก พศ.เป็นจำนวนเงิน 3,000,000 บาท
ขณะที่เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2555 สำนักงานศาลยุติธรรมขอรับเงินสนับสนุนจาก พศ.วงเงิน 5,000,000 บาท และวันที่ 28 ธันวาคม 2555 สำนักงานศาลยุติธรรมยังขอรับเงินสนับสนุนเพิ่มเติมจาก พศ.อีกจำนวน 3,000,000 บาท นอกจากนี้วันที่ 17 ธันวาคม 2555 อ้างอิงตามบันทึกข้อความของกองทุนพุทธศาสนศึกษา ที่ระบุข้อมูลไว้ว่าสำนักงานอัยการสูงสุด ขอรับเงินสนับสนุน จาก พศ.จำนวนเงิน 2,000,000 บาท
นายเรืองไกร ยังตั้งข้อสังเกตว่ากรณีที่ทั้ง 3 หน่วยงานขอรับเงินสนับสนุนจาก พศ.นั้น มีเหตุอันควรสงสัยเพื่อการตรวจสอบต่อไปว่าหน่วยงานทั้งสามหน่วยงานใช้งบประมาณขององค์กรแต่ละองค์กรหรือไม่ และสาเหตุใดจึงมาขอสนับสนุนงบประมาณดังกล่าว ซึ่งอาจเข้าข่ายการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ โดยหน่วยงานและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องจะมีความผิดเข้าข่ายฐานร่วมกันฟอกเงินหรือไม่