วันนี้ (12 พ.ย.2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 09.15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองจันทบุรี รับแจ้งเหตุยิงกันภายในศาลจังหวัดจันทบุรี ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 5 คน รวมผู้ก่อเหตุ โดยเป็นชาย 4 คน หญิง 1 คน ซึ่งก่อเหตุขณะรอการพิจารณาคดีเกี่ยวกับข้อพิพาทเรื่องมรดกที่ดิน เจ้าหน้าที่นำผู้บาดเจ็บส่งรักษาที่ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลพระปกเกล้าจันทบุรี
ขณะที่ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก สภ.เมืองจันทบุรี ว่า เวลา 09.15 น. ได้รับแจ้งว่ามีผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงคู่กรณีได้รับบาดเจ็บในห้องพิจารณาคดีศาลจังหวัดจันทบุรี ผู้บังคับบัญชาในพื้นที่
พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานร่วมกับเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง จึงออกไปตรวจสถานที่เกิดเหตุเพื่อเก็บรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เบื้องต้นตรวจสอบพบว่า ผู้ก่อเหตุใช้วุธปืนพกสั้นออโตเมติกยิงคู่กรณีและเจ้าหน้าที่ศาล ทนายความ จำนวน 4 คน ขณะรอการพิจารณาคดีเกี่ยวกับข้อพิพาทเรื่องมรดกที่ดิน ภายในบริเวณบัลลังก์ห้องพิจารณาคดี
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลซึ่งปฎิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยอยู่หน้าห้องพิจารณาคดี จึงได้ใช้อาวุธปืนประจำตัวยิงผู้ก่อเหตุทำให้ได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 คน รวมผู้ก่อเหตุ เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวส่งโรงพยาบาล และได้ควบคุมตัวผู้ก่อเหตุไว้ พร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
รอง โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวผู้ก่อเหตุ 1 คน พร้อมสืบสวนสอบสวน เก็บรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง สอบปากคำพยาน ส่งตัวผู้บาดเจ็บไปที่โรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา และจะนำตัวผู้ต้องหาไปดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ผบ.ตร.กำชับรักษาความปลอดภัยศาล
ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กำชับให้สืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานด้วยความรอบครอบ รวดเร็ว อาศัยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เชื่อมโยงถึงการกระทำความผิดของผู้ก่อเหตุเป็นสำคัญ รวมทั้งผู้บังคับบัญชาทุกพื้นที่ ลงไปกำชับ กวดขัน การปฎิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริเวณที่ทำการของศาลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามที่ได้รับการประสานขอกำลังไปปฎิบัติหน้าที่เพิ่มเติมจากศาล โดยต้องบูรณาการกับฝ่ายรักษาความปลอดภัยของศาลและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบอาวุธ สิ่งผิดกฎหมาย ใช้หลักยุทธวิธีระดับการใช้กำลัง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งให้มีแผนเผชิญเหตุและแนวทางการประสานการปฎิบัติเพื่อเข้าระงับเหตุและแก้ไขปัญหาได้ทันต่อสถานการณ์