วันนี้ (25 ก.พ.2563) ที่อาคารรัฐสภา เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นวันที่ 2 เริ่มเวลาประมาณ 09.30 น. โดยมีนายศุภชัย โพธิ์สุ ทำหน้าที่ประธานสภาฯ ช่วงแรกเป็นการหารือประเด็นเวลา กรอบการอภิปราย และการชี้แอจงจากฝ่ายรัฐบาล เพื่อไม่ให้ยืดเยื้อจนเกินไป จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจง
จากนั้น นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ชี้แจงโครงการหอชมเมืองที่มีการอภิปรายถึงเมื่อคืนวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นนานแล้วจากการรวมตัวของภาคเอกชนและสถาบันการเงินกว่า 50 องค์กร โดยจดทะเบียนเป็นมูลนิธิ เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2557 และขอใช้พื้นที่กรมธนารักษ์ในเขตคลองสาน
การตรวจสอบข้อมูลพบว่า เป็นพื้นที่ว่างของราชพัสดุ ไม่มีการใช้ประโยชน์ ไม่มีการเช่า เป็นพื้นที่ตาบอด ทางเข้าออกไม่สะดวก จากนั้นกระทรวงการคลังได้แจ้งต่อมูลนิธิหอชมเมือง ให้หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และศึกษาการลงทุนร่วมกับธนารักษ์ โดยมีการศึกษาความเหมาะสมพบว่า
ที่ดินดังกล่าวมีมูลค่า 100 ล้านบาท และมูลนิธิฯ ต้องลงทุนพัฒนาโครงการ 4,478 ล้านบาท ทำให้ที่ดินมีมูลค่าสูงขึ้น และมีทางเข้าออก เป็นหอชมเมืองที่สูงอันดับ 6 ของเอเชีย เพิ่มรายได้การท่องเที่ยว โดยปี 2557 ไทยมีรายได้ท่องเที่ยว 1.17 ล้านล้านบาท และปี 2560 รายได้ 1.83 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้มีสอบถามกรมธนารักษ์ว่า จะได้รับประโยชน์ใดอีกบ้างจากโครงการดังกล่าว เช่น เก็บค่าธรรมเนียม 62 ล้านบาท ตลอดสัญญา 30 ปี อีกทั้งเจตนารมณ์มูลนิธิไม่แสวงกำไร แต่จะนำกำไรมาพัฒนาชุมชนโดยรอบ จึงพิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการ แม้มีการลงทุนสูง แต่ยืนยันว่าได้ดำเนินการตามกฎหมายการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการรัฐ เช่น เสนอเรื่องให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกฤษฎีกา และเสนอ ครม.พิจารณาเห็นชอบ
ส่วนประเด็นที่อภิปรายว่า ไม่มีการประมูล หรือให้เอกชนร่วมแข่งขันนั้น กรมธนารักษ์แจ้งว่าเป็นที่ดินตาบอด ไม่เคยมีคนมาขอเช่า ประกอบกับเห็นประโยชน์ในการพัฒนาการท่องเที่ยว สร้างงานสร้างรายได้ อีกทั้งปฏิบัติตามเกณฑ์ พ.ร.บ.ให้เอกชนร่วมทุน คัดเลือกเอกชนได้โดยไม่ต้องผ่านการประมูล ยืนยันว่าตัดสินใจโดยรอบคอบเพื่อผลประโยชน์ประเทศ และทำตามกฎหมายทุกประการ อีกทั้งเป็นการเผยแพร่ศาสตร์พระราชา