จากกรณีเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ที่มีภาพและข้อเขียนปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ นำเสนอว่า มีการส่งข้าวสารจำนวนกว่า 700 กระสอบ จากประเทศไทย บริเวณชายแดน เพื่อสนับสนุนรัฐบาลทหารเมียนมานั้น
วันนี้ (22 มี.ค.2564) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จุดผ่านแดนถาวร จุดผ่านแดนชั่วคราว หรือด่านชายแดนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ในปัจจุบันยังคงเปิดให้ผ่านเข้า-ออก ภายใต้มาตรการควบคุมการป้องกันโรค COVID-19 และเป็นไปตามกฎหมายระเบียบ ในการข้ามแดนของบุคคลและสินค้า-สิ่งของ
มีส่วนราชการในพื้นที่ปฏิบัติงานร่วมกัน ทั้งตำรวจ ฝ่ายปกครองของจังหวัด เจ้าหน้าที่ศุลกากร, เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เป็นต้น โดยในการขนส่งสินค้าข้ามแดนต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 เป็นหลัก
และพิจารณาร่วมกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องในการอนุญาตสินค้าบางประเภท เช่น พ.ร.บ.กักพืช กระทรวงเกษตรฯ, การนำเข้าสินค้า-ส่งออก กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น
ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดนสามารถดำเนินการค้าขาย ขนส่งสินค้าข้ามแดนได้ตามระเบียบ และกฎหมายความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งได้ดำเนินการอยู่ตามปกติ
โดยเฉพาะในสินค้าที่เป็นเครื่องอุปโภคบริโภคและจำเป็นต่อการดำรงค์ชีวิต ทั้งนี้ต้องไม่ได้เป็นสิ่งของต้องห้ามตามกฎหมาย หรือยุทธภัณฑ์ที่อยู่ในการควบคุม
สำหรับการค้าขายสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค ในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ในขณะนี้ เป็นเรื่องของผู้ประกอบการโดยตรง เป็นการค้าชายแดนตามปกติ
กองทัพไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไปดำเนินในเรื่องเหล่านี้ และเจ้าหน้าที่ไม่ได้ปิดกั้นการค้าขายชายแดน หากดำเนินการในกรอบของกฎหมาย และเป็นไปตามขั้นตอนของศุลกากร
ทั้งนี้ ประชาชนตามแนวชายแดน รวมถึงการค้าขายของผู้ประกอบการที่มีการส่งสินค้าตามช่องทางต่างๆ ก็ยังคงต้องผ่านการตรวจสอบ และกำกับดูแลจากทหารเมียนมา ตามระเบียบปฏิบัติของทางการเมียนมา ตามปกติเช่นกัน
ปัจจุบัน กองกำลังชายแดนยังคงภารกิจปกป้องอธิปไตย สร้างความมั่นคงปลอดภัยในพื้นที่ชายแดน สกัดกั้นสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ การลักลอบเข้าเมืองโดยไม่ผ่านการคัดกรองโรค
นอกจากสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้ว อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คืออำนวยความสะดวก ให้กับการดำเนินการค้าขายตามแนวผ่านจุดผ่านแดน จุดผ่อนปรนทางการค้า ช่วยตรวจสอบคัดกรองสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ให้มีการผ่านเข้า-ออก หรือมีการลักลอบขนส่งสินค้าข้ามแดน โดยไม่ผ่านการตรวจสอบตามกระบวนการศุลกากร โดยเฉพาะตามช่องทางธรรมชาติ
ควบคู่ไปกับการติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อให้พร้อมดูแลสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนในทุกสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนของประเทศเพื่อนบ้าน การนำเสนอข่าวสาร ด้วยความระมัดระวัง ไม่กระทบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และไม่เป็นการก้าวล่วงกิจการภายในของประเทศอื่น เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องคำนึงถึงและให้ความสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าข้อมูลนั้น ไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะอาจจะสร้างผลกระทบในทางลบ ต่อผลประโยชน์ของประเทศ หรือประชาชนชาวไทยได้
สิ่งที่ทุกฝ่ายควรร่วมกันในขณะนี้คือ สร้างความรักความสามัคคี สร้างการรับรู้ในข่าวสารที่ถูกต้อง เพื่อให้ทุกเรื่องเดินหน้าไปด้วยความเรียบร้อย บ้านเมืองสงบสุข และช่วยกันดูแลคนไทยประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤติ COVID-19 ได้อย่างปลอดภัย