วันนี้ (18 พ.ย.2564) ตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (PCT) ตรวจยึดของกลางเป็นธนบัตรดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 9,800 ฉบับ คิดเป็นเงินไทยรวมกว่า 31 ล้านบาท พร้อมกับแท่นพิมพ์ จากผู้ต้องหาเครือข่ายผลิตธนบัตรดอลลาร์ปลอมที่ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี หลังจากขยายผลจากการจับกุมโรงงานผลิตที่ อ.บางเลน จ.นครปฐม
พล.ต.ต.นภัสวุฒิ เลี่ยมสงวน หัวหน้าชุดปฏิบัติการ 3 ศูนย์ PCT เปิดเผยว่า ทั้งสองจุดพบมีความเชื่อมโยงกัน สามารถจับผู้ต้องหาได้รวม 8 คน โดยใน จ.ปทุมธานี พบหัวหน้าขบวนการคือ นายบุญช่วย หรือ ป๋าลี ที่เป็นนายทุนผลิตธนบัตรอยู่เบื้องหลัง และมีความรู้ในการผลิตธนบัตรปลอม ซึ่งสั่งเครื่องพิมพ์และแม่พิมพ์มาจากต่างประเทศ และพบว่าเคยถูกจับในคดีเดียวกันเมื่อปี 2559
ส่วนธนบัตรที่ยึดได้พบว่าเป็นรุ่นปี 2006 A ซึ่งต่างจากที่ อ.บางเลน จ.นครปฐม ที่พบว่าเป็นรุ่นปี 2006 และเป็นรุ่นที่นิยมทำปลอมทั่วโลก โดยของกลางที่ยึดได้พบว่า ค่อนข้างละเอียดหมายเลขธนบัตรแต่ละใบไม่เหมือนกันซึ่งคล้ายกับธนบัตรของจริง
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เครือข่ายนี้เริ่มผลิตเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าจะมีธนบัตรปลอมบางส่วนหลุดไปในท้องตลาดบ้างแล้ว ส่วนลูกค้าที่ซื้อไปคาดว่านำไปใช้ในประเทศเพื่อนบ้าน
ด้านนายคริสโตเฟอร์ โรห์ดี้ (Christopher Rohde) ผู้ช่วยทูต หัวหน้าสำนักงาน U.S. Secret Service ประจำสำนักงานกรุงเทพ ระบุว่า ทางการสหรัฐฯ ได้ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติสืบสวนเกี่ยวกับการปลอมแปลงธนบัตร โกงธนาคาร เป็นเวลากว่า 30 ปี การจับครั้งนี้ถือว่าเป็นแหล่งผลิตใหญ่ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นธนบัตรปลอมนำไปใช้ในหลายประเทศ
ขณะเดียวกัน ยังได้แนะนำวิธีตรวจสอบสังเกตธนบัตรปลอม 4 จุดหลัก คือ ธนบัตรจริงผลิตมาจากผ้า ใช้งานได้ยาวนาน และเนื้อสัมผัสแตกต่างจากของปลอม เมื่อนำไปใส่เครื่องซักผ้าจะสภาพก็จะยังเหมือนเดิม หากเป็นเป็นของปลอมจะไม่คงสภาพเดิม นอกจากนี้ เมื่อนำธนบัตรส่องดูจะพบลายน้ำและรูป เบนจามิน แฟรงค์กิ้น จะมีความคมชัดสวยงาม และจะมีใยใสป้องกันการปลอมแปลง ขณะเดียวกันจะมีตัวเลข 100 มุมล่างขวาจะเปลี่ยนสีจากเขียวไปดำ
ถ้าของปลอมจะเปลี่ยนสีไม่ได้ โดยการจับกุมครั้งนี้ทางการสหรัฐฯ ขอขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่สามารถทลายเครือข่ายปลอมดอลลาร์สหรัฐฯ รายใหญ่ได้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทลายโรงงานปั๊มเงิน ยึดดอลลาร์ปลอม มูลค่ากว่า 150 ล้านบาท