วันนี้ (21 มี.ค.2565) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ปัญหาโรคเหงือกอักเสบพบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ส่งผลให้เกิดการอักเสบของเหงือกและเนื้อเยื่ออ่อนต่าง ๆ ได้ง่าย บางรายอาจพบการทำลายเนื้อเยื่อปริทันต์ที่รองรับฟัน พบร่องลึกปริทันต์ หรือเหงือกร่น หากดูแลอนามัยช่องปากได้ไม่ดีอาจส่งผลให้หญิงตั้งครรภ์เกิดโรคฟันผุได้
ทั้งนี้ หญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการฝากครรภ์ที่สถานบริการสาธารณสุขควรได้รับการตรวจฟัน เพื่อทราบสภาวะช่องปากของตนเองและรับความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพช่องปากของตนเองและลูก รวมทั้งการฝึกทักษะการแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟันที่ถูกวิธี หากพบว่ามีปัญหาโรคในช่องปากก็ควรได้รับการรักษาตามความจำเป็นในช่วงตั้งครรภ์ เดือนที่ 4-6 หรือได้รับการส่งต่อเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า จากรายงานการศึกษาสภาวะสุขภาพช่องปากและพฤติกรรมที่เกี่ยวกับสุขภาพช่องปากของหญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการในโรงพยาบาล สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ปี 2563 พบว่า หญิงตั้งครรภ์ฟันผุร้อยละ 50.5 แม่ที่มีฟันผุหลายซี่จะมีปริมาณเชื้อแบคทีเรียในช่องปากมาก มีโอกาสสูงที่จะถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกมากขึ้น ทำให้ลูกมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคฟันผุ
นอกจากนี้ มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า โรคปริทันต์อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดและเด็กมีน้ำหนักแรกเกิดน้อยได้ ดังนั้นการได้รับบริการขูดหินน้ำลาย และทำความสะอาดช่องปากจะช่วยลดภาวะเหงือกอักเสบ ส่วนการอุดฟันช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียในช่องปากหญิงตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์ควรดูแลฟันของตนเองเป็นพิเศษ เพราะหากมีปัญหาเหงือกอักเสบและฟันผุ จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติกับเหงือกและฟันของลูกได้ เนื่องจากฟันน้ำนมของลูกเริ่มสร้างตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์มารดาเพียง 6 สัปดาห์เท่านั้น
หากแม่ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนจะส่งผลให้ลูกมีการสร้างหน่อฟันที่ผิดปกติ ลูกจะเกิดฟันผุง่าย หญิงตั้งครรภ์จึงควรแปรงฟันตามสูตร 2-2-2 คือ แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง แปรงฟันนานอย่างน้อย 2 นาที ไม่กินอาหารและเครื่องดื่มหลังแปรงฟัน 2 ชั่วโมง ทำความสะอาดซอกฟันด้วยไหมขัดฟัน เพื่อลดโอกาสที่จะสูญเสียฟันเพิ่มขึ้น เข้ารับการตรวจฟันและทำความสะอาดฟันฟรี ที่หน่วยบริการที่ขึ้นทะเบียนกับ สปสช.