จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น จับกุมหญิงชรา 2 คน ดำเนินคดีในข้อหาผลิต (ปลูก) และมียาเสพติดให้โทษประเภท (กัญชาสด) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการอนุญาตให้ปลูก หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อการบำบัดรักษา เมื่อวันที่ 19 มี.ค.2565 ที่ผ่านมา ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ และกฎหมายอนุญาตให้ปลูกได้ เพราะปลูกเพียง 1 ต้น เพื่อใช้รักษาโรค ไม่ผิดกฎหมาย
วันนี้ (25 มี.ค.2565) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวชาวบ้านถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม พร้อมแจ้งข้อหาครอบครองยาเสพติดให้โทษ เป็นต้นกัญชาเพียง 1 ต้นเพื่อรักษาโรค ว่า กระทรวงสาธารณสุข ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้หารือกับเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้ข้อสรุปตรงกันว่า
หลังจากที่ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ปลดล็อกทุกส่วนของกัญชากัญชง เว้นสารสกัดที่มีค่า THC มากกว่า 0.2 % โดยน้ำหนัก ให้พ้นจากความเป็นยาเสพติด เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ในการรักษาตั้งแต่ระดับครัวเรือน โดยจะมีผลบังคับใช้อีก 120 วัน คือวันที่ 8 มิ.ย.2565
จากการหารือร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย ชี้ว่า กัญชาไม่ผิดกฎหมาย ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 แม้ประกาศกระทรวงสาธารณสุขปี 2563 ใช้บังคับ แต่ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งมีศักดิ์สูงกว่า เพราะฉะนั้นเมื่อประกาศใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดแล้ว กฎกระทรวงฯ พ.ศ.2563 ซึ่งมีมาก่อน จึงใช้บังคับไม่ได้
“เราเข้าใจดีว่า ในช่วงรอยต่อระหว่างกฎหมายเก่าและกฎหมายใหม่ ความสับสนทั้งจากผู้บังคับใช้กฎหมายและประชาชนอาจเกิดขึ้นได้ เพื่อประโยชน์แก่พี่น้องประชาชนและให้สมแก่เจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงจะเสนอให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติช่วยสร้างความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ถึงความละเอียดอ่อนในช่วงเวลานี้ เพื่อไม่ให้มีการจับกุมชาวบ้าน ที่จะถูกมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งรังแกประชาชนได้” นายอนุทิน กล่าว
กรณีที่มีการจับกุมไปแล้ว ทาง ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยได้แสดงความจำนงว่า จะไปใช้ตำแหน่ง ส.ส. ประกันให้ทุกราย และจัดหาทนายความให้ ยกเว้นรายใหญ่ที่อาจมีเจตนาฝ่าฝืน
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานี้ก่อนถึงวันที่ 8 มิ.ย.2565 ที่ประกาศกระทรวงฯ ปลดล็อกทุกส่วนของกัญชา กัญชง จะมีผลบังคับใช้ ขอให้ทุกฝ่ายได้กรุณาใช้ความระมัดระวังรอบคอบและคำนึงถึงความละเอียดอ่อนในการปฏิบัติงาน ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขก็จะพยายามสร้างความเข้าใจให้มากขึ้นในวงกว้าง ร่วมมือกันเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน