วันนี้ (15 พ.ค.2565) เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันวิสาขบูชา 15 พ.ค. 2565 ความว่า
ดิถีวิสาขบูชา คล้ายดีถีประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง จึงควรที่พุทธบริษัททั้งหลาย จักได้พร้อมเพรียงกันประกอบกุศลกิจ กระทำสักการบูชาพระรัตนตรัย ทั้งด้วยอามิสบูชา ทั้งด้วยปฏิบัติบูชา เป็นกรณีพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยการอบรมศึกษาพระธรรม ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นสาวก ซึ่งแปลว่าผู้สดับตรับฟังคำสั่งสอนของศาสดา
วันวิสาขบูชา เป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงพระปัจฉิมวาจา ซึ่งพระพุทธองค์ทรงพระปรารภสรุปธรรมทั้งปวง ตักเตือนให้ตระหนักอยู่ทุกขณะจิตว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา บุคคลจึงพึงยัง “ความไม่ประมาท” ให้ถึงพร้อม
ทั้งนี้ ธรรมะที่ช่วยกำกับใจให้รู้จักปล่อยวางและกำกับปัญญา กล่าวคือ ไม่ปล่อยปละให้ปัญญานำกายถลำลงสู่ความประมาท ย่อมได้แก่ “สติ” อันอุปมาดั่งนายประตู คอยป้องกันไม่ให้ความชั่วหรือความผิดพลาดอาจจู่โจมเข้าสู่ภายใน
เพราะฉะนั้น ผู้ปรารถนาความพ้นทุกข์ จึงพึงเพิ่มพูนความไม่ประมาททั้งทางโลกและทางธรรม หมั่นเจริญพุทธานุสติและมรณัสสติเป็นอาจิณ โดยสำนึกเสมอว่า แม้สมเด็จพระบรมศาสดาผู้ทรงพระคุณเป็นเลิศในโลก ยังเสด็จล่วงลับดับขันธ์ไปตามธรรมดาของสังขาร
ฉะนั้น เราทั้งหลายผู้มีธุลีในดวงตา ไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไร จึงควรขวนขวายบำเพ็ญบุญกิริยา ด้วยการบริจาคทาน รักษาศีล และอบรมเจริญภาวนา เพื่อประโยชน์สุขในปัจจุบันและในเบื้องหน้า สมดังพระพุทธานุศาสนีที่ว่า “อปฺปมตฺโต หิ ฌายนฺโต ปปฺโปติ วิปุลํ สุขํ” แปลความว่า “ผู้ไม่ประมาทพินิจอยู่ ย่อมถึงสุขอันไพบูลย์” ในทุกสถาน
ขอสาธุชนจงมุ่งมั่นหมั่นศึกษาอบรมเจริญสติ ให้รู้เท่าทันกาย วาจา และใจของตนเอง ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท อันนับเป็น “ปฏิบัติบูชา” ที่พึงกระทำต่อพระรัตนตรัย เพื่อความดำรงมั่นแห่งพระสัทธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบไป ตลอดกาลนาน เทอญ.