วันนี้ (31 พ.ค.2565) นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ชี้แจงระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 4 พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ว่า กระทรวงพลังงานจำเป็นต้องรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ราคาน้ำมันอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงน้ำมันเบนซินที่อาจไม่ได้ดูแล แต่ราคาก็อยู่ในระดับที่ไม่สูง
ขณะนี้ประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศเริ่มประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมัน ขณะที่รัฐบาลไทยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ประชาชนมีน้ำมันใช้ตามปกติ
ขณะที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ มองว่า เศรษฐกิจและการเงินไทยมีความน่าเชื่อถือ และมี Outlook ที่มีเสถียรภาพ ซึ่งอันดับความน่าเชื่อถือของไทยอยู่ในระดับเดิมตั้งแต่ก่อนโควิด-19 จนถึงวันนี้ที่เจอวิกฤตซ้อนวิกฤต โดยเสถียรภาพการเงิน-การคลังต้องเข้มแข็ง จึงต้องรักษาความสมดุลระหว่างการดูแลและปรับกลไกราคาให้สอดคล้องกับราคาตลาดเสรี แบบค่อยเป็นค่อยไป
สำหรับมาตรการเฉพาะพลังงานตลอดระยะเวลาที่มีโควิด-19 ซึ่งใช้ทุกด้านทั้งน้ำมัน ไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม และ NGV รวมแล้ว 206,903 ล้านบาท ในการดูแลประคับประคอง และเชื่อว่าเรื่องปัญหาสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จะทำให้ค่อยๆ ปรับตัวและผ่านไปได้
รมว.พลังงาน กล่าวอีกว่า มีหลายเรื่องที่รัฐบาลทำไว้เพื่อรองรับอนาคต ซึ่งเกิดจากกผลพวงของโครงสร้างพื้นฐานที่ทำอยู่ในปัจจุบันและจะแล้วเสร็จในอีกไม่กี่ปีจากนี้ รวมถึงมีการดึงดูดการลงทุน โดยนายกรัฐมนตรีได้เยือน 3 ประเทศ คือ ซาอุดีอาระเบีย ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา สร้างความสนใจให้ทั้ง 3 ประเทศ โดยจะมีการนำคณะนักธุรกิจชุดใหญ่เข้ามาหาโอกาสการลงทุนในไทย ในช่วงไตรมาส 3-4 ปี 2565 และต้นไตรมาสแรกของปี 2566 ถือเป็นเครื่องชี้วัดความสนใจที่เกิดขึ้น
อ่านข่าวอื่นๆ
"พิธา" คลี่งบฯ ปี 66 ชี้เป็น "งบช้างป่วย ปรับตัวไม่ได้"
"ปดิพัทธ์" แนะปรับกระจายงบฯ ช่วยเหลือเกษตรกร 4 ด้าน
"พล.อ.ชัยชาญ" ยัน ทอ.จำเป็นต้องซื้อ "F-35" เพราะที่มีเก่ามากแล้ว