พรรคเดโมแครตมีแนวโน้มสูงที่จะสูญเสียที่นั่งในทั้ง 2 สภา หลังจากชาวอเมริกันไม่พอใจการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลโจ ไบเดน ซึ่งผลการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ครั้งนี้ ถือเป็นตัวชี้วัดคะแนนนิยมของไบเดนจากผลงานการบริหารประเทศในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา
พรรคการเมืองใดที่คว้าที่นั่งได้อย่างน้อย 218 ที่นั่ง จากทั้งหมด 435 ที่นั่ง จะครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ปัจจุบันทั้ง 2 พรรคการเมืองมีที่นั่งทิ้งห่างกันไม่มากนัก พรรคเดโมแครตมี 222 ที่นั่ง ในขณะที่พรรครีพับลิกันมี 213 ที่นั่ง
ส่วนการแข่งขันกันระหว่างพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกัน ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาค่อนข้างสูสีกันเป็นอย่างมาก ปัจจุบันทั้ง 2 พรรคการเมืองมี 50 เก้าอี้เท่ากัน จึงต้องชี้ขาดด้วยเสียงรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในฐานะประธานวุฒิสภา
ผลสำรวจความคิดเห็นเว็บไซต์ FiveThirtyEight ชี้ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามสนับสนุนพรรครีพับลิกัน ประมาณ 46.9% เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในการเลือกตั้งเป็นอันดับแรก ขณะที่ 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามผลสำรวจของ The Wall Street Jounral มองว่า พรรครีพับลิกันรับมือปัญหาเงินเฟ้อได้ดี
โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยกล่าวในระหว่างช่วยลูกพรรคหาเสียงช่วงโค้งสุดท้าย ว่า
รู้ดีว่าประชาธิปไตยกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง และรู้ว่านี่คือช่วงเวลาที่เราจะปกป้อง คุ้มครองและเลือกมัน
ขณะที่ โดนัล ทรัมป์ อดีตผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า
นี่เป็นปีที่จะทวงสภาผู้แทนราษฎรกลับมา จะทวงวุฒิสภากลับมาและจะทวงอเมริกากลับมา ในปี 2024 สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จะทวงทำเนียบขาวอันงดงามกลับมา
ด้าน อีลอน มัสค์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก และเจ้าของบริษัททวิตเตอร์คนใหม่ ทวิตข้อความสนับสนุนให้พรรครีพับลิกกันคว้าชัยชนะเหนือพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งกลางเทอม โดยให้เหตุผลว่าเพื่อสร้างสมดุลอำนาจทางการเมือง
หากพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาใดสภาหนึ่ง หรือทั้ง 2 สภา จะทำให้การทำงานของไบเดนยากลำบากขึ้น เนื่องจากพรรครีพับลิกันอาจพยายามขัดขวางการผ่านกฎหมายต่างๆ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ประวัติศาสตร์การเลือกตั้งกลางเทอมในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าพรรครัฐบาลมีแนวโน้มที่จะสูญเสียที่นั่งมาโดยตลอด หากความพ่ายแพ้ของพรรคเดโมแครตในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ อาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณของความอ่อนแอทางการเมืองของไบเดนด้วย ส่วนชัยชนะของพรรครีพับลิกัน อาจเป็นแรงผลักให้ทรัมป์ประกาศลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีเป็นครั้งที่ 3 ในการเลือกตั้งปี 2024
พงศธัช สุขพงษ์ รายงาน