วันนี้ (11 พ.ย.2565) โซเซียลส่งกำลังใจล้นหลาม หลังหมอคนหนึ่งร่วมกับเพื่อนเปิดเพจเฟซบุ๊ก "สู้ดิวะ" ขึ้นมาโพสต์เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
ในเพจสู้ดิวะ ข้อความส่วนหนึ่ง นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล อายุ 28 ปี อาจารย์แพทย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เริ่มแนะนำตัวเอง ตั้งแต่วัยเรียน จบแพทย์เฉพาะทาง จนได้รับการบรรจุเป็นอาจารย์ ดูแลสุขภาพดีมาก แต่มาพบว่าป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
นพ.กฤตไท เล่าว่า ผมเกิดในครอบครัวใหญ่ ชีวิตวัยเด็กมีความสุขมาก ๆ แต่จุดเปลี่ยนแรกของชีวิตคือตอนมัธยมต้น พ่อแม่แยกทางกัน มันทำให้ผมต้องเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะต้องอยู่กับแม่และน้องสาว ผมต้องเป็นผู้ใหญ่ทันที
มองย้อนกลับไปขอบคุณเหตุการณ์ครั้งนั้นมาก ๆ ที่ทำให้ผมได้อ่านหนังสือ ได้พัฒนาความคิดและทัศนคติตัวเองขึ้นมา ถ้าไม่ได้เจอเรื่องนี้ ผมคงยังเป็นคุณชาย เป็นเด็กมัธยมธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ผมเป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมากมายตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม คือต้องบอกว่าผมให้ความสำคัญกับเรื่องเพื่อนมากกว่าเรื่องเรียน
ผมได้มีช่วงชีวิต 6 ปีที่ทรงคุณค่าที่สุดในโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ผม OSK 131 สอบติดแพทย์ที่ มช. รุ่น 56 พอเรียนจบ 6 ปี ก็ต่อเฉพาะทางถึง 2 สาขา คือ เวชศาสตร์ครอบครัว และระบาดวิทยาคลินิก พ่วงด้วยการต่อ ป.โท ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์สาขา Data science อีก ปัจจุบันก็เรียนจบกำลังจะรับปริญญา ได้เรียนรู้เรื่องข้อมูล เรื่องแนวคิดทางธุรกิจ การแก้ปัญหาด้วยแนวคิดทาง DS และวิธีการจัดการกับข้อมูลต่าง ๆ เพื่อพร้อมรับมือกับโลกอนาคต
ปัจจุบันผ่านไป 3 ปี ผมจบแพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ครอบครัว และปริญญาโทวิทยาการข้อมูล ได้บรรจุเป็นอาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำงานได้ 2 เดือนแล้ว กำลังสร้างทีมกัน สร้างทีม CE (clinical epidemiology) เชียงใหม่ กับสุดยอดอาจารย์แห่งยุคและทีมงานคุณภาพ
ส่วนของการใช้ชีวิตส่วนตัว ชอบออกกำลังกาย เป็นนักกีฬา เข้ายิมดูแลสุขภาพดีมาก ๆ ให้ความสำคัญกับอาหารและการนอน ชอบอ่านหนังสือ ฟัง podcast
นพ.กฤตไท เล่าด้วยว่า เขากำลังบรรจุเป็นอาจารย์แพทย์ได้ 2 เดือน ก็ได้ตั๋วเลื่อนขั้นเป็นอาจารย์ใหญ่เฉยเลย ทั้งที่ตนเองมั่นใจในสุขภาพร่างกายตัวเองมาก เข้ายิมสม่ำเสมอ เล่นกีฬา กินอาหารคลีน ไม่สูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็น้อยมาก ๆ ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เครียด นอน 4 ทุ่ม ตื่น 6 โมงเช้า อ่านหนังสือ ทำวิจัย สอนนักศึกษา ไม่ได้เข้าเวรอดนอนอะไรเลย การงานอาชีพที่เรียกได้ว่ากำลังไปได้สวย เพิ่งเรียนแพทย์เฉพาะทางจบ พร้อมกับปริญญาโทวิทยาการข้อมูลอีกใบ เพื่อมาทำงานเป็นอาจารย์แพทย์ตามที่ฝันไว้
แล้วผมก็เริ่มไอ ไอมีเสมหะบ้าง ไอแห้งบ้าง ตรวจโควิดแล้วก็ไม่เจอ ตอนนั้นไปรักษาไปทางกรดไหลย้อนก่อน ผ่านไป 2 เดือน ระหว่างนี้ผมสามารถเล่นกีฬาได้ตามปกติ ทำงาน ใช้ชีวิตได้ตามปกติเลยจริง ๆ มีแค่เรื่องไอที่ไม่หายสักที จึงตัดสินใจไปตรวจจริงจัง วันที่ 3 ต.ค.2565 เป็นวันที่ไม่มีตารางงานเลย จึงถือโอกาสไปตรวจสุขภาพ
ผลเอกซเรย์ บอกผมว่า ชีวิตผมจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ปอดข้างขวาผมเหลืออยู่ครึ่งเดียว ลักษณะเหมือนมีก้อนกับน้ำอยู่ในปอดด้านขวา และปอดด้านซ้ายก็มีก้อนเล็ก ๆ เต็มไปหมด หลังจากผ่านการตรวจทุกอย่างมาแล้ว ทั้งเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อมาตรวจ ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สมอง ผลมันก็คือผมเป็นมะเร็งปอดจริง แถมเป็นระยะสุดท้ายด้วย ตัวก้อนหลักขนาดเกือบ 8 ซม. ที่ปอดด้านขวา
นอกจากนี้ ตัวมะเร็งยังมีการกระจายไปที่เยื่อหุ้มปอด และปอดข้างซ้ายอีกหลายจุด ที่สำคัญคือ มันกระจายไปที่สมองถึง 6 ก้อนด้วยกัน แต่ละก้อนก็ใหญ่ซะด้วย โชคดีที่ผมไม่มีอาการทางสมองอะไร ทั้งที่ตำแหน่งที่มันกระจายไป สามารถทำให้ แขนขาอ่อนแรง ชา เดินไม่ตรง ทรงตัวไม่ได้ หรือแม้แต่เสียการมองเห็นไปเลย
อย่างไรก็ตาม ได้รับการรักษาที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้แล้ว ขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านจากใจจริงครับที่ให้ความช่วยเหลือทั้งการผ่าตัด การได้รับ chemotherapy Immunotherapy และได้รับการฉายแสงที่ศรีษะทันทีที่เจอก้อน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ยอดเยี่ยมและรวดเร็วแบบนี้อาจจะไม่สามารถมานั่งเขียนสเตตัสนี้แล้วก็ได้ ขอบคุณครับ ขอบคุณจริง ๆ รวมถึงประกันด้วย ผมโชคดีที่ได้ทำประกันสุขภาพโรคร้ายแรงไว้
สำหรับคนที่ยังไม่มีประกันสุขภาพ แนะนำถ้าคนแบบผมเป็นมะเร็งได้ ทุกคนมีโอกาสเป็นได้ โลกเราตอนนี้มันไม่ปกติ ทั้งมลภาวะ อากาศ น้ำ รังสีต่าง ๆ ยีนส์เรามันพร้อมกลายพันธ์
นพ.กฤตไท ระบุอีกว่า ผมจั่วได้การ์ด ที่ชื่อว่า มะเร็งระยะสุดท้าย การ์ดที่ถึงจะไม่อยากได้ แต่ก็มีมันอยู่ในมือ เป็นวันที่ตระหนักว่าจริง ๆ แล้ว มนุษย์เรามันโคตรเปราะบางเลย
มันเหมือนโลกทั้งใบของเราแตกสลายลงไปต่อหน้าเลย แผนชีวิตที่วางมาทั้งหมด พังลง ต่อหน้าต่อตาเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตอนที่ได้ chemo หรือได้ยาอะไรเข้าไปแล้วร่างกายจะเป็นยังไง ฉายแสงที่หัวด้วยรังสีเข้มข้น จะเกิดผลข้างเคียงอะไรจะมองเห็นอยู่ไหม จะกินข้าวได้อยู่ไหม จะยังจำทุกคนได้ไหม จะยังเป็นตัวของตัวเองแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน
เวลาจำกัดแค่ไหนเหรอก็อาจจะหลักเดือน 6 เดือน 1 ปี 2 ปี โชคดีก็อาจจะ 5 ปี ซึ่งไม่รู้จริง ๆ ว่าโลกจะให้เวลาเท่าไร ไม่สามารถพยายามอะไรได้เลย ทำได้แค่ภาวนาให้ยาตอบสนอง ให้โรคสงบ ให้ไม่มีผลข้างเคียงอะไรเกิดขึ้น ภาวนา ให้มีชีวิตอยู่อย่างปกติไปได้อีกสักวัน หรืออีกสักเดือน
คุณเชื่อไหม ผมไม่เสียดายชีวิตที่ผ่านมาเลย ผมมีช่วงชีวิตที่ผ่านมาที่โคตรดี ดีแบบไม่มีอะไรเสียใจ ไม่มีอะไรที่อยากย้อนกลับไปทำ แปลว่าที่ผ่านมาใช้ชีวิตมาได้น่าพอใจมาก คือ ไม่ได้รู้สึกว่า รู้งี้ทำแบบนั้นตอนนั้นดีกว่า หรือย้อนกลับไปเปลี่ยนทางเดินชีวิตอะไรเลย ไม่ได้อยากมีอะไรที่มากไปกว่าที่ชีวิตตอนนี้มีอยู่เลย ผมมีชีวิตที่ดีมากแล้วจริง 28 ปี ที่ผ่านมาของผม มันยอดเยี่ยมและมีคุณค่ามากพอที่จะเรียกว่าชีวิตที่มีความหมายแล้ว
มันคงจะดีมาก ๆ ถ้าการที่ชีวิตที่สั้นลงของผมสามารถเป็นกำลังใจ เป็นพลังให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อ
หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป สื่อสังคมออนไลน์ต่างเข้ามาให้กำลังใจ นพ.กฤตไท เป็นจำนวนมาก