วันนี้ (15 ม.ค.2566) คณะกรรมการ กสทช. ที่มี นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ เป็นประธาน ร่วมแถลงผลจัดประมูลอนุญาตให้ใช้สิทธิวงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (package) จำนวน 5 ชุด
พบว่าไม่มีใครสนใจประมูล 2 ชุด คือ ชุดที่ 1 และ ชุดที่ 5 ราคาตั้งต้นอยู่ที่กว่า 370 ล้านบาท และอีกชุดกว่า 189 ล้านบาท เนื่องจากเป็นชุดที่มีข้อจำกัด เช่น อยู่ไกลประเทศไทย ตัวดาวเทียมตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้ไม่มีใครลงทุน
ส่วนอีก 3 ชุด ที่นำมาประมูล พบว่า บริษัท สเปซ เทค อินโนเวชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บริษัท ไทยคม จำกัด ได้ไปมากที่สุด 2 ชุด คือ ชุดที่ 2 และชุดที่ 3 ซึ่งเป็นแพ็คเกจที่มีดาวเทียมไทยคมดวงอื่นให้บริการอยู่ก่อนนี้แล้ว
ชุดวงจรดาวเทียมใหม่นี้ มีจุดเด่นที่สัญญาณครอบคลุมประเทศไทย จีน อินเดีย และประเทศกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งล้วนมีประชากรหนาแน่น เหมาะแก่การลงทุน และเป็นดาวเทียมที่เหมาะกับงานแพร่ภาพทั่วไป
ส่วนบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT รัฐวิสาหกิจ สนใจประมูลชุดเดียว และได้ไปคือ ชุดที่ 4 โดยไม่มีผู้เสนอราคาแข่ง เป็นชุดเดียวที่ NT เลือกประมูล ซึ่งชุดที่ 4 นี้ มีจุดเด่นเป็นวงโคจรใหม่ แพร่ภาพได้กว้าง แต่บริษัท NT ต้องไปลงทุนสร้างตัวดาวเทียมยิงเพิ่มเติม
สำหรับบริษัทน้องใหม่ที่เข้าประมูล คือ บริษัท พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด สนใจเคาะราคาชุดที่ 2 ในรอบแรก แต่ไม่ได้เสนอราคาอีกในรอบ 2 จึงแพ้ประมูลให้ บริษัท สเปซ เทค อินโนเวชั่น จำกัด โดยที่ไม่ได้สนใจประมูลวงโคจรอื่นอีก
บริษัทพร้อมมี นายสมบัติ แสงชาติ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีประวัติเป็นอดีตผู้จัดการนักฟุตบอลทีมชาติ และมีประสบการณ์ทำดาวเทียมบริเวณแท่นขุดเจาะน้ำมัน
พล.อ.ท.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กรรมการ กสทช. กล่าวว่าการประมูลเป็นทิศทางที่ดี แม้ไม่ค่อยเกิดการแข่งขัน แต่ก็ถือว่าได้นำสิทธิวงโคจรมาจัดสรร เพื่อให้เกิดประโยชน์
ผลประมูลหลังจากนี้ บอร์ด กสทช.จะรับรองผลประมูลภายใน 7 วัน โดยผู้ชนะการประมูล ต้องจ่ายงวดแรกภายใน 90 วัน ซึ่งอายุใบอนุญาต มีระยะเวลาทุกชุด 20 ปี ส่วนสิทธิวงโคจร 2 ชุด ที่ไม่มีใครสนใจ ทางบอร์ด กสทช.จะพิจารณาหลังจากนี้ ว่าจะมีแนวทางดำเนินการอย่างไรต่อไป