วันนี้ (17 พ.ค.2566) นายพริษฐ์ วัชรสินธุ์ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงอำนาจ ส.ว.ในการเลือกนายกฯ ว่า ตามหลักการการ ให้สนับสนุนและโหวตนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลที่มาจากเสียงประชาชน แม้จะไม่ได้ชื่นชอบและนิยมพรรคก้าวไกล แต่ต้องยึดหลักการประชาธิปไตย และเคารพเสียงของประชาชนที่เข้าคูหาเลือกตั้ง
นอกจากนี้ หากหยิบยกคำอภิปรายของ ส.ว.หลายคน เมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา รวมถึงเหตุการณ์ลงมติ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ร่างที่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกอำนาจ ส.ว. ในการเลือกนายกฯ เห็นว่ามี ส.ว. จำนวนกว่า 60 คนที่ลงมติเห็นชอบให้ปิดสวิตช์ ส.ว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรี
นายพริษฐ์ ยังเห็นว่า การที่ส.ว.60 กว่าคน เห็นถึงปัญหา เห็นด้วยกับการยกเลิกมาตรานี้ ส.ว.ไม่ควรใช้อำนาจนี้ แทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาล ที่ได้เสียงข้างมากจาก ส.ส. ขณะที่ตนเองพยายามจะชี้ให้เห็นว่า ส.ว.ไม่ควรใช้อำนาจนี้ในการจัดตั้งรัฐบาล แม้ ส.ว.ที่ยังไม่เคยลงมติเห็นชอบในยกเลิกอำนาจตัวเอง
อยากบอก ส.ว.เหล่านั้นว่า หากอยากเห็นประเทศไปต่อได้ โดยไม่เจอทางตัน หรือความขัดแย้งในบ้านเมือง ก็ต้องสนับสนุนนายกรัฐมนตรีจากรัฐบาลเสียงข้างมาก เพราะการสนับสนุนนายกฯ ที่มาจากเสียงข้างน้อย ท้ายที่สุดก็จะไม่สามารถบริหารประเทศได้ และไม่สามารถผ่านงบประมาณหรือกฎหมายได้
สำหรับการโน้มน้าว ส.ว.อาจจะง่ายกว่าการหาเสียง ส.ส.มาเติมหรือไม่นั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า เราทำทั้งสองส่วน และหากพูดถึงตัวเลขปัจจุบัน ในบรรดาพรรคที่กำลังพูดคุยกันอยู่เพื่อจัดตั้งรัฐบาล ตัวเลขจะอยู่ที่ 310 เสียง การบริหารประเทศก็จะยังถือว่ามีเสถียรภาพ
แต่หากจะมองว่าต้องมาจากตัวเลข 376 เสียงซึ่งเป็นกึ่งหนึ่งของสภา ตัวเลขก็จะมาจาก 2 ส่วนคือ จาก ส.ว. และ ส.ส. ซึ่งหากลงลึกไปแล้วเสียงของ ส.ว.60 กว่าคนที่เคยปิดสวิตช์ก็เพียงพอที่จะโหวตได้
นอกจากนี้ยังเห็นท่าทีของสมาชิกพรรคอื่น ที่แม้จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลก็ยังจะโหวตให้นายพิธา ส่วนพรรคจะส่งตัวแทนไปพูดคุยกับ ส.ว.หรือไม่
นายพริษฐ์กล่าวว่า ในความเป็นจริงเรายินดีที่จะพูดคุยอยู่แล้ว และจากการฟังคำสัมภาษณ์ของ ส.ว.หลายคน ก็มีเพียงไม่กี่คนที่แสดงความเห็นไม่โหวตเลือกนายพิธา ซึ่งพรรคก้าวไกลยินดีที่จะพูดคุยถึงนโยบาย เพื่อให้ ส.ว.คลายข้อกังวล ซึ่งตนเห็นว่า วันที่ 23 พ.ค.นี้ จะมีการประชุม ส.ว.ซึ่งพรรคก็ยินดีที่จะเข้าไปตอบคำถาม และยืนยันว่า ไม่จำเป็นจะต้องให้ ส.ว.เชื่อว่าก้าวไกลตอบโจทย์ประเทศมากที่สุด แต่สิ่งที่ต้องไม่ทำคือ การขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชน
นายพริษฐ์ ยังกล่าวถึงท่าทีของพรรคก้าวไกลตอนนี้ เหมือนกับการขู่ ส.ส.จะทำให้เกิดความวุ่นวายหรือมีการลุกฮือตามมาว่า ตนไม่ได้คิดว่า ท่าทีของพรรคก้าวไกลเป็นไปในทางข่มขู่ และเรายินดีพูดคุยเปิดวงสนทนาในสิ่งที่ ส.ว.กังวล
เวลาที่ผมพูดว่า ส.ว.โหวตเลือกนายกฯ ที่ไม่ใช่เสียงข้างมาก แล้วจะเกิดทางตันนั้น ไม่ใช่การข่มขู่แต่เป็นการพูดข้อเท็จจริง ทั้งนี้มีคนเคยบอกว่า ที่เคยให้การสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ในปี 2562 เพราะมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา ส.ว.บางคนออกมาพูดด้วยซ้ำว่า ไม่มีทางที่จะมีรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้ เพราะฉะนั้นเป็นแนวคิดที่อยากจะนำกลับมาอธิบาย และอย่านำตรรกะนี้มาใช้กับประชาชน
สำหรับ ส.ว.บางคนเลือกจะปิดสวิตช์ตัวเองเหมือนกัน แต่ก็เลือกจะไม่โหวต นายพิธาเป็นนายกฯนั้น นายพริษฐ์กล่าวว่า ข้อเสนอเรื่องการปิดสวิตช์ ส.ว.คือ ส.ว.ไม่ควรมาจากการแต่งตั้ง รวมถึงแทรกแซงกระบวนการเลือกนายกและจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งการเลือกนายกฯ ควรจะมาจาก ส.ส.
การใช้คำว่า ปิดสวิตช์ ส.ว.ต้องมองออกเป็น 2 ส่วน คือการทำให้ ส.ว.ไม่มีอำนาจในการเลือกนายกฯ เลย แต่ในเมื่อเสนอแก้ไขกฎหมายไปเท่าไรก็ไม่เคยผ่าน ทำให้ปิดสวิตช์ ส.ว.ในความหมายของวันนี้ที่ยังมี มาตรา 272 อยู่ คือการที่ ส.ว.โหวตให้นายกฯ และรัฐบาลที่ครองเสียงข้างมาก
นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า การงดออกเสียงไม่เท่ากับการปิดสวิตช์ ส.ว. เพราะรัฐธรรมนูญไปกำหนดว่าต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาที่มีอยู่ ไม่ใช่สมาชิกรัฐสภาที่ลงมติ มันเป็นการขัดขวางทำให้นายกฯ ที่มาจากเสียงข้างมาก มีอุปสรรคได้
สำหรับกรณีที่กรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน ตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบนายพิธา ทั้งเรื่องการถือหุ้นสื่อ ประเด็น มาตรา 112 เหมือนเป็นการพุ่งเป้าไปที่พรรคก้าวไกลจะมีผลต่อการจัดรัฐบาลหรือไม่
นายพริษฐ์ กล่าวว่า เรายินดีเข้าไปพูดคุยอยู่แล้ว ทั้งพูดคุยในกรรมการที่ตั้งขึ้นมาและในที่ประชุมใหญ่ ซึ่งตนเองเข้าใจว่า มีข้อเท็จจริงบางส่วน ที่ ส.ว.เข้าใจคาดเคลื่อน เพราะฉะนั้นประเด็นทั้งคุณสมบัติของนายกฯ และนโยบายพรรค เราเชื่อว่าหา ส.ว.ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน ก็จะเข้าใจ
ยังมี ส.ว.บางคนที่กังวลใจ แต่ก็มั่นใจว่าจะเข้าใจ และไม่ได้หวังให้มานิยมชมชอบพรรคก้าวไกล แต่ก็อยากให้ ส.ว.เคารพเสียงของประชาชน