วันนี้ (2 มี.ค.2567) นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผย ผลสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 38 ในเดือนก.พ. 2567 สินค้าราคาถูกด้อยคุณภาพบุกตลาดไทย ภาคอุตสาหกรรมรับมืออย่างไร จากกลุ่มตัวอย่าง 234 คนใน 46 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า มีผู้ตอบแบบสำรวจที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกและสินค้าไม่มีมาตรฐานที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย มากถึงร้อยละ 65.8
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
และกระทบยอดขายสินค้าของไทยลดลงตั้งแต่ร้อยละ 10- 30 ในบางอุตสาหกรรม ซึ่งประเด็นดังกล่าวทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมภายในประเทศ เนื่องจากหลายอุตสาหกรรมไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับสินค้าราคาถูกที่เข้ามาในประเทศได้
รวมทั้งมีความกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภคในการเลือกใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพและไม่มีมาตรฐาน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร เครื่องสำอาง สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม สินค้าแฟชั่น วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
อย่างไรก็ตามภาคเอกชน เสนอให้ภาครัฐเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจับสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานและใช้การสําแดงเท็จนำเข้าผ่านด่านศุลกากร ควบคู่ไปกับการตรวจสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานในท้องตลาดทั้ง มอก. และ อย. รวมทั้ง จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาผ่านช่องทางออนไลน์ E Commerce platform
โดยการพิจารณาทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท และออกมาตรการป้องกันการสําแดงราคาเท็จ ตลอดจนทบทวนเงื่อนไขการใช้ประโยชน์จากคลังสินค้าในเขตปลอดอากร (Free Zone Warehouse) เพื่อทำให้เกิดความเท่าเทียมในการขายสินค้าในประเทศ
เมื่อถามถึงสถานการณ์การแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดอาเซียน ส่วนใหญ่มองว่า ต้นทุนการผลิตของไทยที่ปรับตัวสูงขึ้นมากทั้งจากค่าไฟฟ้า ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ทำให้สินค้าไทยในปัจจุบันเริ่มที่จะแข่งขันได้ยากยิ่งขึ้นในตลาดอาเซียน ซึ่งจะเห็นได้จากมูลค่าการส่งออกสินค้าไปอาเซียน ปี 2566 ที่ลดลงกว่าร้อยละ 7.12 เมื่อเทียบกับปี 2565
ทั้งนี้ ส.อ.ท. แบ่งแบบสอบถามออกเป็น 6 ข้อ ถามว่า ภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกและไม่มีมาตรฐานที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทยระดับใด พบว่า ส่วนใหญ่มองว่า ร้อยละ 20.9 ยอดขายลดลงร้อยละ 10 ร้อยละ 19.7 ยอดขายลดลงร้อยละ 20 และร้อยละ 7.3 มองว่ายอดขายลดลงร้อยละ 30 และร้อยละ 34.2 มองว่าไม่ได้รับผลกระทบ
เมื่อถามว่า ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อผลกระทบจากสินค้าราคาถูกและไม่มีมาตรฐานในเรื่องใด (Multiple choices) ส่วนใหญ่ 81.8 มองว่า อุตสาหกรรมภายในประเทศสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้ และร้อยละ 74.4 มองว่า ความปลอดภัยของผู้บริโภคในการเลือกใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ
ภาคอุตสาหกรรมมีแนวทางการปรับตัวเพื่อแข่งขันกับสินค้าราคาถูกที่เข้ามาในตลาดอย่างไร (Multiple choices) พบว่า ร้อยละ 65.3 มองว่าควรยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ได้รับรองมาตรฐาน เช่น มอก., อย. และร้อยละ 58.1 มองว่าการสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่ยอมรับ และพัฒนาบริการหลังการขาย
ภาครัฐควรมีมาตรการปกป้องผู้ประกอบการไทยจากสินค้าราคาถูกและไม่มีมาตรฐานอย่างไร (Multiple choices) ผู้ตอบแบบสอบร้อยละ 78.2 มองว่าควรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจับสินค้าไม่มีมาตรฐานและสําแดงเท็จ และร้อยละ 66.2 ภาครัฐควร ทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ ที่ไม่เกิน 1,500 บาท และออกมาตรการป้องกันการสําแดงราคาเท็จ
ส่วนกลุ่มสินค้าใดที่ภาครัฐควรเร่งเข้ามาช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบจากสินค้าราคาถูกและไม่มีมาตรฐาน (Multiple choices) ส่วนใหญ่มองว่า ร้อยละ 70 กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า รองมาร้อยละ 55.6 กลุ่ม อาหาร และเครื่องสำอาง และร้อยละ 49.6 กลุ่ม สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม และสินค้าแฟชั่น
อย่างไรก็ตาม ภาคอุตสาหกรรมมีมุมมองต่อการแข่งขันกับสินค้าที่ทะลักเข้ามาในตลาดอาเซียนอย่างไร ร้อยละ57.7 ตอบว่า สินค้าไทยแข่งขันได้ยาก เนื่องจากต้นทุนที่อยู่ในระดับสูง และร้อยละ 31.2 สินค้าไทยถูกแยกส่วนแบ่งทางการตลาดบางส่วน แต่ยังสามารถรักษาตลาดไว้ได้ และร้อยละ 11.1มองว่า สินค้าไทยยังคงเป็นที่นิยมและสามารถแข่งขัน
อ่านข่าวอื่นๆ:
สศอ.ชี้ หนี้ครัวเรือนพุ่ง เศรษฐกิจฟื้นช้า กดดัชนี MPI หดตัว 2.94%
ประเมิน "หนี้นอกระบบ" นายกฯ ไม่พอใจตัวเลขลงทะเบียนแก้หนี้
ตลาดรถมือสองแอฟริกาใต้ บูม “พาณิชย์” เห็นช่องส่งออกอุปกรณ์ยานยนต์