ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

รู้จัก "อะฟลาท็อกซิน" วายร้ายก่อมะเร็ง

ไลฟ์สไตล์
8 พ.ค. 67
16:20
3,030
Logo Thai PBS
รู้จัก "อะฟลาท็อกซิน" วายร้ายก่อมะเร็ง
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
มาทำความรู้จัก "อะฟลาท็อกซิน" สารพิษก่อมะเร็งร้ายแรง ที่พบได้ในวัตถุดิบทางการเกษตรที่นำมาแปรรูปและเก็บอย่างไม่เหมาะสม

"โครงการรับจำนำข้าว" กลับมาได้รับความสนใจและถูกพูดถึงกันอีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 6 พ.ค.2567 ที่ผ่านมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ "กินข้าวโชว์" เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า ข้าวในโครงการรับจำนำข้าวที่เก็บในโกดัง จ.สุรินทร์ มานาน 10 ปี ยังสามารถบริโภคได้ และเป็นการันตีถึงคุณภาพของ "ข้าว" ในสต็อก แต่ก่อนนำมาหุ้งต้องผ่านการซาวน้ำถึง 15 ครั้ง

อ่านข่าว : ไขคำตอบ! "ข้าวสาร" เก็บได้นานแค่ไหน ?

ประเด็นนี้มีการตั้งคำถามจากประชาชน รวมถึงนักวิชาการถึง "คุณภาพข้าว" ที่เก็บมานานว่า "ปลอดภัย" และ "ได้คุณภาพ" จริงหรือไม่ ขณะที่ข้าวที่เก็บรักษาข้าวในโกดังจะต้องได้มาตรฐาน เป็นสถานที่ต้องมิดชิด เป็นโกดังปิด รวมไปถึงอาจต้องใช้วิธีการ "รมยา" ต่อเนื่องเพื่อปกป้องข้าวในคลังจากสิ่งรบกวน หนึ่งในนั้นคือ "มอด" และวิธีการเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดการปนเปื้อน

รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์​ ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ ข้าวเก่า 10 ปี หากตรวจสอบแล้วปลอดภัยก็เอามาทำประโยชน์ได้ แต่สิ่งที่เป็นห่วงนั้นคือ สาร "อะฟลาท็อกซิน" สารก่อมะเร็งที่มีอันตรายมาก

สอดคล้องกับ รศ.พันทิพา พงษ์เพียจันทร์ ที่ปรึกษาฝ่ายวิจัยและวิชาการ คณะเกษตรศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนี้เช่นกัน โดยใจความสำคัญคือ พบว่ามีการวางกระสอบข้าวซ้อนทับกันภายในโกดัง โดยการเก็บข้าวซึ่งบรรจุในกระสอบป่าน มีโอกาสที่จะดูดซึมความชื้นได้ เมื่อวางซ้อนทับกันสูงมากจะยิ่งทำให้อากาศไม่ถ่ายเท ซึ่งส่งเสริมให้ข้าวดูดซึมน้ำกลับ

รวมถึงการวางซ้อนกันสูงเช่นนี้ทำให้ไม่สามารถรมยาได้ทั่วถึง จึงทำให้มอดและแมลงเจริญเติบโตได้ ซึ่งมูลของแมลงเหล่านี้นำมาซึ่งการเจริญของเชื้อราและแบคทีเรีย ทำให้ข้าวเน่าและได้รับสารพิษโดยไม่รู้ตัว และ เม็ดข้าวที่ขึ้นราจะมี "สารอะฟลาท็อกซิน"

อ่านข่าว : ท้าส่ง "ตัวอย่างข้าว 10 ปี" พิสูจน์แล็บตรวจสารตกค้าง-โภชนาการ

วันนี้ เรามาทำความรู้จักกับ "อะฟลาท็อกซิน" ให้มากขึ้นดีกว่า คืออะไร อันตรายแค่ไหน เราสามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้อย่างไร

"สารอะฟลาท็อกซิน" มักพบได้ในวัตถุดิบทางการเกษตรที่นำมาแปรรูปและเก็บอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้

นพ.ประวัฒน์ จันทฤทธิ์ อายุรศาสตร์ทั่วไป ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เคยอธิบายเกี่ยวกับ "สารอะฟลาท็อกซิน" ไว้ว่า องค์การอนามัยโลก กำหนดให้สารชนิดนี้ เป็นสารก่อมะเร็งที่ร้ายแรงมากชนิดหนึ่ง โดยปริมาณเพียง 1 ไมโครกรัม หากได้รับอย่างต่อเนื่องสามารถทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในแบคทีเรียและทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้

ทั้งนี้ สารอะฟลาท็อกซิน มักพบได้ในวัตถุดิบทางการเกษตรที่นำมาแปรรูปและเก็บอย่างไม่เหมาะสม มีอะไรบ้างนั้นยกตัวอย่างได้ดังนี้

  • ผลิตภัณฑ์จากถั่วลิสง
  • ผลิตภัณฑ์ประเภทแป้ง
  • ผลิตภัณฑ์จากถั่วลิสง
  • เม็ดมะม่วงหิมพานต์
  • มันสำปะหลัง
  • ผักและผลไม้อบแห้ง
  • ปลาแห้ง กุ้งแห้ง กะปิ
  • มะพร้าวแห้ง
  • หัวหอมแห้ง กระเทียมแห้ง
  • พริกแห้ง พริกไทย งา

สำหรับใครที่ได้รับ "สารอะฟลาท็อกซิน" ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการในระยะแรก ๆ แต่จะมาแสดงอาการเมื่อเกิดการเรื้อรังแล้ว อธิบายอีกคือ การกินอาหารที่มีการปนเปื้อนของ "เชื้อรา" แล้วเชื้อรานั้นสร้างสารอะฟลาท็อกซิน ทำให้เกิดการอักเสบของตับเรื้อรัง เกิดภาวะตับแข็ง ก่อเกิดมะเร็งตัง ซึ่งอาจมีผลต่อระบบไต หัวใจ

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจเริ่มกังวล แล้วจะทำอย่างไรเพื่อเป็นการป้องกันสารตัวนี้ วันนี้มีข้อแนะนำทำได้โดย

  • เลือกซื้ออาหารหรือวัตถุดิบแห้งที่อยู่ในสภาพใหม่ บรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ไม่มีเชื้อรา สะอาด
  • ต้องไม่มีกลิ่นอับ ส่งกลิ่นเหม็น หรือ ชื้น
  • ไม่เก็บอาหารแห้งเหล่านั้นไว้เป็นเวลานาน เพราะจะทำให้เกิดการสะสมของเชื้อราได้
  • นำอาหารแห้งเหล่านั้นไปตากแดดจัด ๆ เพราะความร้อนจากแดดจะทำให้ความชื้นลดลง

สุดท้ายควรเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และสังเกตทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารทุกอย่างเพื่อสุขภาพที่ดี

อ่านข่าว : ปิดเกาะปลิง! ไม่มีกำหนด ปะการังฟอกขาวหนัก

ยังสนุก ตื่นเช้า กทม.เมืองในฝัน “ชัชชาติ” ดันศูนย์กลาง Ecosystem

AstraZeneca ถอนใบอนุญาตวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง