วันนี้ (4 มิ.ย.2567) สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เปิดเผยผลการสอบสวน กรณี นักข่าวรับเงินจากแหล่งข่าว ระบุว่า สืบเนื่องจากกรณีที่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านหนึ่ง ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า มีการจ่ายเงินให้สื่อมวลชน เพื่อเป็นค่าข่าว และช่วยเหลือด้านต่าง ๆ เนื่องจากเห็นว่านักข่าวเงินเดือนน้อย ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข่าวต่อสาธารณะออกไปอย่างแพร่หลาย
ต่อมาองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน 7 องค์กร ได้ร่วมประชุมกันเมื่อวันที่ 27 ก.ย.2566 และแสดงจุดยืนต่อสาธารณะว่า สื่อมวลชนที่รับเงินจากแหล่งข่าว เพื่อกระทำการ หรือไม่กระทำการใด ๆ ถือเป็นเรื่องที่ละเมิดจริยธรรมวิชาชีพอย่างร้ายแรง ไม่สามารถยอมรับได้
พร้อมทั้งเห็นชอบ ให้จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อสร้างความกระจ่างชัดในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อสาธารณชนโดยคณะกรรมการประกอบด้วย ผู้แทนจากสภาวิชาชีพสื่อมวลชนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสภาวิชาชีพกิจการการแพร่ภาพและการกระจายเสียง (ประเทศไทย)
ซึ่งทำหน้าที่ดูแลเรื่องจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนขององค์กรสมาชิก องค์กรละ 2 คน (เป็นคนในวิชาชีพ 1 คน และผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก 1 คน) รวมเป็น 6 คน และให้สรรหาผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกมาเป็นประธานคณะกรรมการอีก 1 คน รวมเป็น 7 คน
โดยมีการประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 ต.ค.2566 มีนายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นประธาน กำหนดให้ดำเนินการเสนอผลการสอบข้อเท็จจริงภายในระยะเวลา 120 วัน และขอขยายเวลาได้ครั้งละ 30 วัน แต่ไม่เกิน 2 ครั้ง
คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ได้ส่งผลการตรวจสอบมาให้คณะกรรมการสภาการสื่อมวลชนพิจารณาเมื่อวันที่ 9 พ.ค.2567 โดยระบุว่า คณะกรรมการฯ ได้ประชุมกันทั้งสิ้น 7 ครั้ง พร้อมทั้งได้รวบรวมข่าว ภาพข่าวและวิดีทัศน์การให้สัมภาษณ์ของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติดังกล่าว
จากนั้นได้เชิญสื่อมวลชนและต้นสังกัดของสื่อมวลชนที่ถูกระบุชื่อ มาให้ข้อมูลแก่คณะกรรมการ รับฟังได้ว่า นักข่าวที่ถูกพาดพิงยอมรับว่า เคยรับเงินจากรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 2 ครั้งๆ ละ 10,000 บาท
ครั้งแรกเป็นเงินช่วยเหลือขณะที่บิดาป่วยเข้าโรงพยาบาล ส่วนอีกครั้งเป็นการรับเงินระหว่างไปทำข่าว โดยยืนยันว่า เป็นการรับแบบไม่มีเงื่อนไขและไม่ได้ร้องขอ เมื่อผู้ใหญ่ให้ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ และยอมรับว่า กระทำการละเมิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชน
ส่วนองค์กรสื่อที่มีนักข่าวถูกพาดพิง ได้ให้ข้อมูลเป็นเอกสารแก่คณะกรรมการ ระบุว่า ทางองค์กรยึดถือปฏิบัติตามข้อบังคับจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชนมาโดยตลอด และไม่มีนโยบายให้นักข่าวในสังกัด ไปรับเงินจากแหล่งข่าวไม่ว่าในกรณีใด ๆ
เมื่อทราบข่าว จึงสั่งนักข่าวที่ถูกพาดพิงยุติการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมทั้งมีการสอบสวนตามกระบวนการในองค์กรโดยทันที พบว่า การกระทำของนักข่าวคนดังกล่าวเข้าข่ายละเมิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งต่อมานักข่าวคนดังกล่าวได้แสดงความรับผิดชอบขอลาออกจากการเป็นพนักงานตั้งแต่เดือน ต.ค.2566
คณะกรรมการสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ได้ประชุมพิจารณาผลการสอบสวนดังกล่าวเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2567 ฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า นักข่าวที่ถูกพาดพิงทั้ง 2 ราย ทั้งที่มีสังกัดและไม่มีสังกัด มีการรับเงินจากรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตามข่าวจริง
และการกระทำดังกล่าว เป็นการละเมิดข้อบังคับ ว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชน สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ พ.ศ.2564 ข้อ 26 ที่ระบุว่า “ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนต้องละเว้นการรับอามิสสินจ้างอันมีค่า หรือผลประโยชน์ใด ๆ เพื่อให้กระทำการหรือไม่กระทำการใดอันจะขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างถูกต้องรอบด้าน”
เนื่องจากนักข่าวทั้ง 2 รายไม่มีต้นสังกัด หรือลาออกจากต้นสังกัดแล้ว จึงมีมติให้ยุติเรื่อง แม้ว่ารองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่เป็นต้นเรื่องจะไม่ได้มาให้การกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ตาม แต่มีหลักฐานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องว่า มีการจ่ายเงินแก่นักข่าวจริง
อนึ่ง คณะกรรมการสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติยังเห็นชอบกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ว่า องค์กรสื่อมวลชนต้องไม่ว่าจ้าง ไม่ซื้อข่าวและไม่สนับสนุนนักข่าวอิสระที่มีพฤติกรรมละเมิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ขณะที่นักข่าวอิสระต้องเปิดเผยตัวตนให้ชัดเจนว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนและไม่หลีกเลี่ยงการถูกกำกับดูแลด้านจริยธรรมจากองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน
นอกจากนี้ องค์กรสื่อมวลชนควรพิจารณาให้ผลตอบแทนและสวัสดิการแก่นักข่าวอย่างเหมาะสมและเพียงพอต่อการดำรงชีพ โดยเฉพาะการซื้อข่าวจากนักข่าวภูมิภาคหรือนักข่าวท้องถิ่นต้องให้ค่าตอบแทนเหมาะสมและมีสัญญาที่ชัดเจนอีกด้วย
อ่านข่าว :