"ทองคำ" พุ่งไม่หยุด อานิสงส์เศรษฐกิจ"สหรัฐ-จีน" ฟื้นตัวต่อเนื่อง

เศรษฐกิจ
25 ก.ย. 67
18:18
5
Logo Thai PBS
 "ทองคำ" พุ่งไม่หยุด อานิสงส์เศรษฐกิจ"สหรัฐ-จีน" ฟื้นตัวต่อเนื่อง
ทองคำ ขึ้นต่อเนื่อง หลังรับอานิสงส์ เศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัว ขณะที่จีนออกมาตรกระตุ้นกำลังซื้อ หนุนตลาดทองคำโลก-ตลาดหุ้นพุ่งไม่หยุด

วันนี้ (25 ก.ย.2567) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" วิเคราะห์ทิศทางราคาทองที่มีทิศทางขาขึ้น มาจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแอลง และปัญหาทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีน จึงส่งผลกระทบให้ความต้องการทองคำในตลาดเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ช่วยหนุนตลาดหุ้นและราคาทองโลก

การกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนครั้งนี้ชื่อว่า Pan’s Package ที่ถูกมองว่าเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการลดอัตรา Reverse Repo 7 วัน ลงจาก 1.7% เป็น 1.5% เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ระบบการเงิน ลดสัดส่วนการสำรองเงินฝาก (RRR) ลดลง 0.5% ปล่อยสภาพคล่องเข้าระบบ 1 ล้านล้านหยวน และมีการคาดการณ์ว่าจะลดอีก 0.25-0.5% ในอนาคต

รวมถึงลดอัตราเงินดาวน์ขั้นต่ำ สำหรับการซื้อบ้านหลังที่สองลดลงจาก 25% เป็น 15%ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ลงประมาณ 0.2-0.25% สนับสนุนเงินกู้สำหรับรัฐบาลท้องถิ่นในการซื้อบ้านที่ขายไม่ออก ซึ่งครอบคลุมวงเงิน 100% ของเงินกู้จากเดิมที่ครอบคลุมเพียง 60%

จากนโยบายดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนซึ่งได้รับผลเชิงบวกจากนโยบายดังกล่าวโดยตรง ขณะที่ราคาทองโลกได้โมเมนตัมเชิงบวกเช่นกันเนื่องจากจีนเป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ของโลก หากเศรษฐกิจจีนมีการฟื้นตัว จะส่งผลให้ความต้องการซื้อทองคำจากนักลงทุนจีนกลับมาช่วยหนุนตลาดทองโลกอีกครั้ง

แม้ว่าราคาทองคำโลกจะมีทิศทางขาขึ้น แต่ราคาทองไทยยังคงถูกกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าทำให้ ราคาปรับตัวขึ้นไม่มาก นักลงทุนควรมองเป็นจังหวะในการเข้าสะสมทองคำเพิ่ม โดยมีเป้าหมายทำกำไรที่ระดับ 41,400- 41,500 บาท

บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เผยบทวิเคราะห์ ว่า ราคาทองสร้าง All Time High ต่อเนื่อง หากราคาทองเคลื่อนไหวทรงตัวในระดับสูง มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ แนะนำรอจังหวะราคาปรับย่อตัวลง ให้เปิดสถานะซื้อ หากสามารถยืนเหนือแนวรับ 2,655-2,640 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทยอยปิดสถานะซื้อทำกำไร หากราคาปรับตัวขึ้นไม่ผ่านแนวต้าน 2,669-2,685 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สถานะซื้อตัดขาดทุน หากราคาหลุดแนวรับ 2,621 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองปรับตัวขึ้น มากจากโมเมนตัมทองคำยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวานนี้(24 ก.ย.2567) ราคาปิดบวกได้อีก 28.55 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เช้านี้ขึ้นทำ All Time High ที่ระดับ 2,669 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยวานนี้ แม้ช่วงแรกทองคำมีจังหวะถูกขายทำกำไรที่แนวต้านบ้าง

อย่างไรก็ตาม ราคาทองมีการย่อตัวจำกัด รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยที่เข้ามาเป็นระยะ ๆ หลังกองทัพอิสราเอลได้ปลิดชีพผู้บัญชาการฮิซบอลเลาะห์อีกจำนวนหนึ่ง และในช่วงค่ำ ราคาทองคำขึ้นทำ New High ทันทีที่ CB เผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคร่วง 98.7 ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2021

ด้านกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประเมินเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่ามีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.75-33.50 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทปิดแข็งค่าที่ 33.03 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 33.02-33.52 บาท/ดอลลาร์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 19 เดือนครั้งใหม่ เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ยกเว้นเงินเยนและฟรังก์สวิสในสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ย 50bp สู่ 4.75-5.00%

ถือเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี ขณะที่เฟดเชื่อมั่นมากขึ้นว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงสู่เป้าหมาย

อย่างไรก็ตาม ประธานเฟดระบุ ยังไม่เห็นสัญญาณใดๆในเวลานี้ที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย และการลดดอกเบี้ยครั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของผู้ดำเนินนโยบายที่จะรักษาความแข็งแกร่งของภาคแรงงานต่อไปและเฟดต้องการป้องกันปัญหาล่วงหน้า ทางด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ)คงดอกเบี้ยที่ 0.25% ตามคาด ขณะที่ตลาดตีความสัญญาณจากบีโอเจว่ายังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นและพันธบัตรไทยสุทธิ 5,865 ล้านบาท และ 9,975 ล้านบาท ตามลำดับ

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี ให้ความเห็นถึงสถานการณ์ตลาดในสัปดาห์นี้ว่า นักลงทุนจะติดตามความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดและเงินเฟ้อ PCE เดือนส.ค.ของสหรัฐฯเพื่อประเมินทิศทางดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯต่อไป

ทั้งนี้ ประมาณการล่าสุดของเฟด สะท้อนว่าเฟดอาจจะลดดอกเบี้ยลงอีก สู่ 4.25-4.50% ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งจะถือเป็นจุดต่ำสุดของวัฏจักร ขณะที่ตลาดคาดว่าดอกเบี้ยเฟดจะแตะระดับ 2.85% ช่วงสิ้นปี 2568 ซึ่งเร็วกว่า dot plot ของเฟดถึง 1 ปี บ่งชี้ว่าดอลลาร์อาจมีจังหวะฟื้นตัวขึ้นได้บ้างหากข้อมูลเศรษฐกิจออกมาดีเกินคาด นอกจากนี้มองว่าราคาทองคำในตลาดโลกจะยังคงสร้างความผันผวนให้กับค่าเงินบาท

สำหรับประเด็นในประเทศ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความเห็นว่าไทยไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยนโยบายลงตามสหรัฐฯ โดยจะพิจารณาปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก ซึ่งภาพรวมด้านต่างๆขณะนี้ยังสอดคล้องกับที่ ธปท.ประเมินไว้ แต่ยอมรับว่าคุณภาพสินเชื่อมีความเสี่ยงสูงขึ้นท่ามกลางการฟื้นตัวที่ไม่เท่าเทียมกันในแต่ละภาคเศรษฐกิจ ขณะที่เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะกระทบต่อกำไรของภาคธุรกิจ ทั้งนี้มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)มีแนวโน้มตรึงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ในการประชุมรอบถัดไปวันที่ 16 ต.ค.นี้

 อ่านข่าว:

“ทองคำ” บวก 150 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 40,219 บาท

 "ส่งออกไทย" 8 เดือน บวก 4.2% สรท.ห่วงบาทแข็งกระทบคำสั่งซื้อ

“ทองคำ” บวก 100 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 40,158 บาท

ข่าวที่เกี่ยวข้อง