ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ก้าวสำคัญ "สมรสเท่าเทียม" ก้าวต่อไปความท้าทายแก้กฎหมายเพิ่ม

การเมือง
22 ม.ค. 68
06:00
158
Logo Thai PBS
ก้าวสำคัญ "สมรสเท่าเทียม" ก้าวต่อไปความท้าทายแก้กฎหมายเพิ่ม
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
หลังการแก้ไขกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในไทย คู่รักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสอย่างเท่าเทียม นี่เป็นก้าวแรกในอาเซียนที่ยืนยันสิทธิความหลากหลายทางเพศ อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามและประเด็นทางกฎหมายที่ยังรอการแก้ไขเพื่อสร้างความครอบคลุมในทุกด้าน

วันที่ 22 ม.ค.2568 ได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากกฎหมายใหม่ที่แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีผลบังคับใช้ ซึ่งผ่านมา 120 วันนับจากการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาช่วงปลายปี 2567

คู่รักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสและได้รับสิทธิและหน้าที่เทียบเท่าคู่สมรสโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติทางเพศ

นี่เป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กฎหมายลักษณะนี้เกิดขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญในการเฉลิมฉลองความรักและมิตรภาพในความหลากหลายทางเพศ และเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะมองไปข้างหน้าถึง "ก้าวต่อไป"

เนื้อหาในกฎหมายฉบับใหม่นี้ได้ปรับแก้ไขมาตรากว่า 70 มาตราในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยลบคำที่แสดงถึงเพศแบบทวิลักษณ์ (ชาย-หญิง) เช่น "ชาย-หญิง" "สามี-ภรรยา" และ "คู่หมั้นชาย-หญิง" และแทนที่ด้วยคำที่เป็นกลางทางเพศ เช่น "บุคคล" "คู่สมรส" และ "คู่หมั้น" ส่งผลให้ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมในเรื่องการสมรสโดยไม่คำนึงถึงเพศ

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวครอบคลุมหลายด้าน เช่น การหมั้นและการสมรส ความสัมพันธ์และความรับผิดชอบระหว่างคู่สมรส การจัดการทรัพย์สิน การเลิกสมรส การรับบุตรบุญธรรม และสิทธิในมรดก ทั้งนี้ กฎหมายยังได้ปรับอายุขั้นต่ำในการสมรสจาก 17 ปี เป็น 18 ปี

คำถามที่ยังสงสัย-คำตอบที่อาจเป็นไปได้

อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายใหม่นี้ เช่น

กฎหมายใหม่นี้ครอบคลุมถึงสิทธิของชาวต่างชาติที่ต้องการจดทะเบียนสมรสในประเทศไทยหรือไม่ ? 

สิทธิของคู่รักชาวต่างชาติ คู่รักชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเพศใด สามารถจดทะเบียนสมรสในประเทศไทยได้ แต่ต้องแสดงหลักฐานว่ายังไม่มีการสมรสมาก่อน อย่างไรก็ตาม การมีคู่สมรสมากกว่า 1 คน (bigamy) เป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย ยกเว้นบางกรณีใน 4 จังหวัดชายแดนใต้

คำที่แบ่งแยกเพศแบบทวิลักษณ์ถูกลบออกไปทั้งหมดแล้วหรือยัง ?

การลบคำแบ่งแยกเพศ ยังคงมีคำแบ่งแยกเพศในบางมาตรา เช่น มาตรา 1453 ของประมวลกฎหมายที่ระบุว่า หากสามีเสียชีวิตหรือการสมรสสิ้นสุดลง ภรรยาไม่สามารถแต่งงานใหม่ได้จนกว่าจะผ่านไป 310 วัน ยกเว้นในกรณีพิเศษ เช่น การแต่งงานใหม่กับสามีเดิม หรือมีหลักฐานยืนยันว่าไม่ได้ตั้งครรภ์

กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ใน 4 จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีกฎหมายอิสลามควบคุมเรื่องครอบครัวและมรดกของชาวมุสลิมหรือไม่ ?

กฎหมายใหม่นี้ไม่ครอบคลุม 4 จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ สตูล) ซึ่งมีกฎหมายอิสลามใช้บังคับในเรื่องครอบครัวและมรดกของชาวมุสลิม

จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายอื่นอีกกี่ฉบับเพื่อลดการเลือกปฏิบัติทางเพศในอนาคต ?

คาดว่ามีกฎหมายประมาณ 50 ฉบับที่ต้องแก้ไขเพื่อปรับให้สอดคล้องกับความเป็นกลางทางเพศ เช่น กฎหมายสัญชาติ และกฎหมายแรงงาน

ก้าวต่อไป "กฎหมายอุ้มบุญ-ยอมรับอัตลักษณ์ทางเพศ"

กฎหมายอุ้มบุญ กฎหมายปี 2558 ที่เกี่ยวกับการคุ้มครองเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (ART) ยังคงจำกัดสิทธิในเรื่องการอุ้มบุญเชิงพาณิชย์ โดยอนุญาตเฉพาะ "อุ้มบุญแบบไม่แสวงหากำไร" (Altruistic Surrogacy) ซึ่งคู่สมรสต้องเป็นชายหญิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถือสัญชาติไทยและแต่งงานไม่น้อยกว่า 3 ปี ไข่และอสุจิต้องเป็นของคู่สมรสเท่านั้น และผู้รับอุ้มบุญต้องเป็นญาติของคู่สมรส การแก้ไขกฎหมายนี้จึงจำเป็นเพื่อเปิดโอกาสให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถเข้าถึงสิทธิในการอุ้มบุญได้

การยอมรับอัตลักษณ์ทางเพศ กฎหมายควรอนุญาตให้บุคคลข้ามเพศสามารถเปลี่ยนข้อมูลเพศในเอกสารราชการได้ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการผ่าตัดแปลงเพศหรือการประเมินทางจิตเวช ซึ่งเป็นแนวทางที่ประเทศต่าง ๆ เช่น อาร์เจนตินา และมอลตา ได้นำไปใช้

ประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าสู่การสร้างความเท่าเทียมทางเพศในเชิงกฎหมาย แม้จะมีความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ การแก้ไขเพิ่มเติมและสร้างความครอบคลุมในทุกด้านจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะสร้างสังคมที่ยอมรับความหลากหลายของมนุษยชาติอย่างแท้จริง

วิฑิต มันตาภรณ์
ศาสตราจารย์กิตติคุณ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง