เมื่อบัตรเครดิตเป็นอุปกรณ์ทางการเงินที่หลาย ๆ คนใช้ในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันกัน ผู้ให้บริการด้านสินเชื่อบัตรเครดิตได้มีการเพิ่มกลไกต่าง ๆ มากมายเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการบัตรเครดิต หนึ่งในกลไกที่หลายคนไม่ทราบว่ามีอยู่คือกลไก “Chargeback”
กลไก Chargeback ถือเป็นหนึ่งในกลไกที่สำคัญต่อความปลอดภัยทางด้านการเงินของผู้ใช้บัตรเครดิต และถือเป็นหนึ่งในระบบคุ้มครองผู้ใช้บัตรเครดิตที่ทำให้บัตรเครดิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ปลอดภัย
ในระบบการใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตนั้น ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากผู้ใช้บัตรเครดิตทางธนาคารหรือสถาบันการเงินของผู้ออกบัตรจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ก่อน หรือเป็นการให้กระแสเครดิตนั่นเอง หากจะให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนการที่สถาบันทางการเงินให้ผู้ใช้บัตรยืมเงินใช้จ่ายก่อน จากนั้นผู้ใช้บัตรค่อยจ่ายยอดดังกล่าวทีหลัง ซึ่งระยะเวลาการจ่ายก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละบัตรและแต่ละสถาบันทางการเงิน
ดังนั้นเมื่อเกิดการรูดบัตรเพื่อใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตขึ้น ผู้ใช้บัตรไม่ได้เป็นคนใช้เงินของตัวเองในการจ่าย แต่เป็นการใช้เครดิตที่ออกให้โดยสถาบันทางการเงินของผู้ใช้จ่ายจ่ายอยู่ ซึ่งจุดนี้เองที่แตกต่างกับระบบใช้จ่ายแบบเดบิตที่เงินที่ถูกใช้ง่ายนั้นเป็นเงินของผู้ใช้บัตรเอง ความแตกต่างตรงนี้เองที่ทำให้ระบบบัตรเครดิตมีความปลอดภัย เนื่องจากหากเกิดการโจรกรรมบัตรเครดิตหรือบัตรเครดิตถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ธนาคารหรือสถาบันทางการเงินจะเป็นผู้รับผิดชอบภาระหนี้ดังกล่าวแทนผู้ถือบัตรเครดิต ต่างจากระบบเดบิตที่ผู้รับผิดชอบจะเป็นผู้ใช้งานเอง ทำให้มีความยุ่งยากและซับซ้อนมากขึ้น
ระบบ Chargeback เป็นระบบที่อนุญาตให้ผู้ถือบัตรเครดิตสามารถยื่นคำขอเพื่อขอยกเลิกธุรกรรมทางการเงินและขอเครดิตคืนได้ การ Chargeback มักจะทำได้เมื่อผู้ถือบัตรเครดิตยื่นข้อพิพาทต่อธนาคารหรือสถาบันทางการเงินของตนเพื่อขอยกเลิกธุรกรรมทางการเงินกับผู้ค้า (Merchant)
กลไกการ Chargeback นั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละสถาบันทางการเงิน รวมถึงแบรนด์ Card Association ของบัตรเครดิต เช่น VISA, Mastercard และ American Express แต่โดยภาพรวมแล้ว การ Chargeback มักจะเกิดขึ้นหากข้อพิพาทของผู้ถือบัตรฟังขึ้น เช่น จ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตแล้วแต่ไม่ได้รับสินค้า จ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตแล้วแต่สินค้าที่ได้นั้นไม่ถูกต้อง หรือแม้แต่การที่บัตรเครดิตถูกนำไปใช้โดยที่ผู้ถือบัตรไม่ทราบ เช่น การถูกโจรกรรมข้อมูลตัวตน (Identity Theft)
ในกรณีของการ Chargeback เนื่องจากไม่พึงพอใจในสินค้าหรือบริการนั้น สถาบันทางการเงินของผู้ถือบัตรมักจะทำหน้าที่เป็นผู้สืบสวนสอบสวนและตัวกลางในการเจรจากันระหว่างผู้ถือบัตรและผู้ค้า โดยผลลัพธ์ของข้อพิพาทนั้น สถาบันทางการเงินจะเป็นผู้ตัดสิน เช่น อาจตัดสินให้ผู้ถือบัตรได้รับ Chargeback ซึ่งในกรณีนี้ ผู้ค้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบภาระหนี้ที่เกิดขึ้น
ในกรณีของการใช้บัตรเครดิตโดยไม่ได้รับอนุญาต หากผู้ถือบัตรส่งข้อพิพาทให้สถาบันทางการเงินแล้วพบว่าเป็นการใช้บัตรโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ถือบัตรจริง (Unauthorized Transaction) สถาบันทางการเงินจะออก Chargeback ให้กับผู้ถือบัตรเครดิต ดังนั้นผู้ถือบัตรเครดิตจะไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบภาระหนี้ แต่จะเป็นผู้ค้าแทน
กลไกนี้ทำให้ผู้ค้ามีแรงกระตุ้นในการให้สินค้าและบริการที่ดียิ่งขึ้นเพื่อป้องกันข้อพิพาทและการ Chargeback ที่ตามมา หากลูกค้าไม่พึงพอใจ นอกจากนี้เองยังเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ค้าตรวจสอบข้อมูลบัตรเครดิตของผู้ใช้งานอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น เพื่อป้องกันการใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่เช่นนั้นแล้ว ผู้ค้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบภาระหนี้นั่นเอง
เรียบเรียงโดย โชติทิวัตถ์ จิตต์ประสงค์
🎧 อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech