- จับตานโยบาย “ทรัมป์ 2.0” เขย่าอนาคตเศรษฐกิจโลก ไทยต้องปรับตัวให้เท่าทัน และปรับตัวกับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้โดนัลด์ ทรัมป์
- ผู้เชี่ยวชาญชี้ “ประวัติศาสตร์ย้อนกลับมาและเริ่มต้นใหม่” ประเด็นจีน-ไต้หวัน อาจเป็นจุดที่ดึงมหาอำนาจเข้าสู่ความขัดแย้ง
- ผู้คุมเทคโนโลยีกุมอำนาจ “เอไอ” เข้ามามีบทบาทมากขึ้น แม้ว่าจะนำมาซึ่งโอกาส แต่ก็ซ้ำเติมช่องว่างและความไม่เท่าเทียมในสังคม
- สงครามข่าวสารอาจบานปลาย กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จับตา 3 ขั้วอำนาจโลก เมื่อระเบียบโลกแบบเดิมล่มสลาย
“หากปี 2024 ที่ผ่านมาเป็นปีแห่งการเลือกตั้ง ปี 2025 นี้ ก็เป็นปีแห่งคำถาม”
นี่คือประโยคที่ World Economic Forum รายงาน พร้อมชี้ว่า 2025 จะเป็นปีที่ผู้นำโลกต้องเผชิญกับโจทย์ที่ท้าทาย ทั้งสงครามที่ยืดเยื้อ ความเคลื่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายจุดที่ยังไร้จุดจบ เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในขณะที่องค์กรระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติ ไม่สามารถเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยปัญหาที่เรื้อรังได้
เดือนมกราคม เป็นการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์สมัยที่สอง ขณะที่ทั่วโลกจับตาว่า “ทรัมป์” จะแก้ปัญหาอัตราเงินเฟ้อ และชุบชีวิตนโยบาย “อเมริกันต้องมาก่อน” ได้จริงหรือไม่ ทำให้ปี 2025 เป็นปีที่เต็มไปด้วยบททดสอบสำคัญ
ด้านผู้เชี่ยวชาญมองว่าในปีนี้มีประเด็นที่น่าจับตาทั้งการเมืองโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้ง การมืองสหรัฐฯ ที่ได้ผู้นำคนใหม่ สงครามรัสเซียยูเครนที่ยืดเยื้อ รวมถึงความตึงเครียดบริเวณคาบสมุทรเกาหลี
“...เรื่องพวกนี้กลายเป็นเรื่องที่ท้าทายสหรัฐฯ และคนกำลังเฝ้าดูอยู่ว่า ถ้าคุณทรัมป์ทำไม่ได้ใครจะทำ…และทุกคนเห็นด้วยว่าวิธีที่คุณทรัมป์ทำน่าจะพอไปได้ ถ้าไม่ได้จบปีหน้าโลกก็จะวิกฤต มากขึ้นอีกแต่ถ้าทำได้เราก็จะเห็นอเมริกันกลับเข้ามา”
รศ.ดร. ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ กล่าว
ส่วนในแง่มุมของประเทศไทย ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่อาจได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ นับเป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่จะต้องรับมือและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น รวมถึงยกระดับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในหลากหลายแง่มุมทั้งในด้านความมั่นคงและการลงทุน
ด้านเอเชียต้องจับตาการคานอำนาจของชาติยักษ์ใหญ่ และอาจอยู่ภายใต้ศูนย์กลางของอำนาจอเมริกันอีกครั้ง
จุดวาบไฟไต้หวัน อาจนำไปสู่สงคราม
ส่วนความตึงเครียดที่ถูกจับตาคือประเด็นจีน-ไต้หวัน ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ในระยะยาวไต้หวันต้องการอยู่ร่วมกับจีนอย่างสันติ และไม่ต้องการเผชิญหน้ากับจีน แต่ก็ชัดเจนเช่นกันว่าไต้หวันไม่ต้องการกลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่
ในแต่ละปีจีนมีทีท่าที่ถูกตีความว่าเข้าใกล้การยึดครองไต้หวันมากขึ้นเรื่อย ๆ มีการซ้อมรบใกล้เกาะไต้หวัน ล้ำเส้นมัธยฐาน
ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญมองว่าสงครามโลกครั้งที่สามนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นจากจุดเล็ก ๆ เช่นบริเวณนี้ หากเกิดการผิดพลาดด้านบริหาร ซึ่งคล้ายคลึงกับสงครามโลกสองครั้งที่ผ่านมา ซึ่งประเทศหรือดินแดนขนาดเล็ก ก่อให้เกิดปัญหาซึ่งประเทศใหญ่ถอยไม่ได้ ก็เลยต้องเข้าสู่สมรภูมิ
“ประวัติศาสตร์ย้อนกลับมาและเริ่มต้นใหม่”
ผู้คุมเทคโนโลยี กุมอำนาจ
นอกจากความเป็นไปได้ในการเกิดสงครามครั้งใหม่ข้างต้น ยังมีอีกรูปแบบหนึ่งที่อาจนำไปสู่ชนวนในการเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม คือ ไม่ทราบว่าฝ่ายใดอยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ อาจเกิดการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งการโจมตีรูปแบบดังกล่าวยังไม่เป็นที่คุ้นชินมากนัก
สอดคล้องกับการรายงานของ World Economic Forum ที่ชี้ว่า ปัจจุบันนักวิชาการเพิ่งเริ่มทำความเข้าใจกับปัญญาประดิษฐ์ได้ไม่นาน แม้ว่าเทคโนโลยีเอไอจะมาพร้อมกับโอกาส แต่ในขณะเดียวกันก็อาจก่อให้เกิดช่องว่างทางสังคม และนำไปสู่ความไม่เท่าเทียมได้ ซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอไอที่ล้ำสมัย เปรียบเสมือนผู้กุมอำนาจ
สงครามข่าวสารอาจบานปลาย กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ผศ.ดร.อาทิตย์ ทองอินทร์ สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ให้ความเห็นว่า ท่ามกลางสงครามในตะวันออกกลางที่ยังคงยืดเยื้อ การเสพข้อมูลข่าวสารของผู้คนเป็นสิ่งสำคัญ สงครามที่เกิดขึ้นขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นในตะวันออกลางหรือรัสเซียยูเครนมีหลายลักษณะข้อมูลผสมกัน หนึ่งในนั้นคือสงครามข้อมูลข่าวสาร แต่ละฝ่ายสร้างข้อมูลข่าวสารเพื่อกุมความได้เปรียบ นับเป็นการกำหนดภาพลักษณ์ในสื่อออนไลน์
ในส่วนของประเทศไทยมีผู้สนับสนุนแต่ละฝ่ายแตกต่างกันไป ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว แต่หากเกิดบ่อยขึ้นก็อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะระดับประชาชนกับประชาชน เช่นในแง่ข้อมูลที่ก่อให้เกิดอคติต่อกัน ทำให้ต้องคำนึงอยู่เสมอว่าการกระจายข้อมูลข่าวสารของแต่ละฝ่ายเปรียบเสมือนเครื่องมือการรบในปัจจุบัน เพื่อคงความได้เปรียบ หรือบั่นทอนทางจิตวิทยา เป็นเรื่องดีที่สังคมให้ความสำคัญกับข่าวสาร แต่อาจต้องใช้ความระมัดระวังในการเสพข่าวมากขึ้น
ระเบียบโลกใหม่ กับสามขั้วอำนาจ
“เรื่องแรกคือการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจ ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าสหรัฐอเมริกาไม่ใช้ขั้วอำนาจเดียวทางการทหารอีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่หลายขั้วอำนาจ แต่จะมี 3 ขั้วอำนาจหลัก คือ 3 มหาอำนาจหลังที่จะเข้าไปเกี่ยวข้อง และแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ ในทุกสถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคต่าง ๆ คือ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และจีน”
ผศ.ดร.อาทิตย์ ทองอินทร์ ยังให้ความเห็นว่า แม้ในวันนี้เรายังเห็นรัสเซียกับจีนเป็นพันธมิตรกันอยู่ แต่ตามทฤษฎี หากเป็น 3 ขั้วอำนาจจริง ก็มีความเป็นไปได้ว่าอเมริกาภายใต้โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ในอีกไม่นานนี้ อาจพยายามดึงรัสเซียออก และอาจทำให้รัสเซียกับจีนเกิดความขัดแย้งกันในบางกรณี เช่น ปัญหาทะเลจีนใต้
ในสภาสาวะที่ดุลอำนาจโลกยังไม่นิ่งอาจทำให้การแข่งขัน และในหลายครั้งทำให้เกิดการใช้เครื่องมือเช่นการทำสงคราม หรือการขู่กันด้วยอาวุธร้ายแรง นับเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความสงบได้ยาก
“ประเด็นแรกคือดุลอำนาจกำลังจะเปลี่ยน ประเด็นที่สองคือระเบียบโลกเดิมได้ล่มสลายไปโดยสิ้นเชิง”
อาจารย์อาทิตย์กล่าวต่อว่า ระเบียบโลกเดิมในที่นี้ คือระเบียบโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่รัฐอธิปไตยจะไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน ปกป้องมนุษยชน และมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงพลเรือนต้องปลอดภัยหากเกิดการสู้รบ แต่ระเบียบเหล่านี้กลับไม่ได้รับการปกป้อง
ส่วนองค์กรที่ถูกคาดหวังว่าจะเป็นตัวกลางในการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างสหประชาชาติ กลับไร้ความสามารถในการแก้ปัญหาดังกล่าว ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าระเบียบโลกใหม่กำลังก่อตัวขึ้น แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะออกมาในรูปแบบใด ทำให้ปี 2025 เป็นปีที่สำคัญต่อประเด็นภูมิรัฐศาสตร์โลก