นายโฆสิต สุวินิจจิต ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในนามอิสระ เปิดเผยถึงความคาดหวังในผลคะแนนว่า ต้องยอมรับในผลคะแนนที่ประชาชนตัดสิน เพียงแต่ตอนแรกคาดหวังว่าจะมีประชาชนเปลี่ยนใจจากที่เคยเลือกพรรคออกมาเลือกตนเองมากขึ้นจากแนวคิดที่นำเสนอไปว่ากรุงเทพฯต้องอิสระจากพรรคการเมืองด้วยนโยบายกรุงเทพฯ 24 ชั่วโมง ซึ่งผลตอบรับก็ดีในระหว่างที่เดินทางพบประชาชน หรือเวทีประชันวิสัยทัศน์ทุกแห่ง ทุกคนบอกว่านโยบายดี ประสบการณ์มาก เชื่อถือตัวบุคคล แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถฝ่าวงล้อมพรรคได้ ไม่สามารถปรับเปลี่ยนความคิดคนที่ยังยึดติดกับพรรคอยู่มาก
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าทั้ง 2 พรรคการเมืองมีศักยภาพสูงมาก รวมทั้งมีสื่อที่เป็นช่องของตัวเอง ทุกคนก็เรียกว่าสาดสื่อใส่กันอย่างเต็มที่ โดยยอมรับว่าอิทธิพลของสื่อที่มีอยู่ และเครือข่ายความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นเลยทำให้ประชาชนมองเป็นศึกระหว่างพรรคไป แทนที่จะมองเลือกผู้บริหารกรุงเทพฯ ขณะที่กลุ่มเป้าหมายของผมเป็นกลุ่มเดียวกัน กลุ่มที่จะปรับเปลี่ยนความคิดคนที่ยึดโยงกับพรรค ปรับเปลี่ยนมาเลือกตัวบุคคล ไม่ได้ทำเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น หรือเยาวชน ถ้าไม่สามารถดึงคนออกมาจากความนิยมของพรรคได้ คะแนนก็คงไม่ดีเท่าที่ควร
ส่วนการทำงานหลังจากนี้ถือว่าการลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เป็นก้าวแรกที่อาสามารับใช้ประเทศชาติในด้านอีกหนึ่งบทบาท หลังจากที่รับใช้ในด้านสื่อมวลชนมาหลายสิบปี หรือบทบาทด้านธุรกิจสื่ออื่นๆ วันนี้คิดว่าถึงเวลาแล้วที่นักบริหารที่มีความพร้อมควรจะต้องอาสามารับใช้ประเทศชาติด้วยการบริหารบ้านเมืองด้วย ก็ถือว่าเป็นก้าวที่เข้ามาแล้วต้องดูว่าผลตอบรับเป็นอย่างไร ผลตอบรับคะแนนก็ด้านหนึ่ง ผลตอบรับด้านความรู้สึก หรือว่าความคิดก็อีกด้านหนึ่ง
นายโฆสิต กล่าวอีก ผ่านมา 40 กว่าวันได้เห็นความพึงพอใจประชาชนในเรื่องแนวคิด นโยบาย วิสัยทัศน์ หรือเรื่องประสบการณ์ต่างๆ ก็มีมากที่มาบอกว่าถ้าไม่ติดเรื่องพรรคเลือกคุณแน่นอนเลย ทั้ง 2 พรรคเลยนะครับ ทำไมคุณไม่เข้าพรรค เสียดายมากเลย ผมก็เรียนไปว่าเรื่องแนวคิดผม มั่นใจว่าเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญถูกต้องแล้วว่ากรุงเทพฯต้องอิสระจากพรรคการเมือง มองในแง่ประโยชน์ประเทศชาติมากกว่าตัวบุคคล ถ้ามองเพื่อประโยชน์ตัวเอง ผมเข้าพรรคคงสบายกว่านี้มาก
ทั้งนี้ คิดว่าคงจะเชื่อมั่นในแนวคิดนี้ ดังนั้น ไมว่าพรรคไหนเข้ามาบริหาร ผมก็ยินดี และดีใจด้วย แต่จะขอร้องว่าทั้ง 2 พรรคว่าเมื่อบริหารคราวนี้แล้วช่วยกันบริหารการเมือง พัฒนาประเทศชาติ และแข่งขันการเมืองอย่างสร้างสรรค์ได้ไหม เพราะว่าระบอบช้ำมากพอแล้วจากความขัดแย้ง อยากจะเห็นที่จะจับมือกัน เพราะว่าศึกภายนอกใหญ่กว่ามาก คือประชาคมอาเซียน จากที่เราเป็นผู้นำ ตอนนี้เราอยู่ในฐานะที่ไม่ได้เปรียบแล้ว อาจจะเสียเปรียบด้วยซ้ำไป และทุกอย่างเราดีหมดอย่างที่ใครๆ ทั่วโลกพูด เรามีข้อเสียอย่างเดียวคือการเมืองเรา ไม่มั่นคง ไม่มีเสถียรภาพ ความขัดแย้งของเราโดยเฉพาะเมืองหลวงเป็นภาพที่ออกไปทำให้นักธุรกิจ นักท่องเที่ยว นักลงทุนเป็นห่วง อยากจะขอร้องว่าถ้าพรรคใดพรรคหนึ่งได้เป็นคราวนี้ขอให้จับมือกัน เพื่อเตรียมพร้อมสู้ศึกภายนอกได้ไหม ทำเพื่อส่วนรวมแบบนั้น ผมยินดีจะเข้าไปทำงานให้ แต่ว่าไม่หวังตำแหน่งทางการเมือง เพราะคงไปรับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ไม่ได้ สามารถรับได้ในฐานะพลเมืองดีที่จะมีส่วนร่วม ซึ่งทุกคนที่พลเมืองต้องช่วยกัน
ส่วนงานที่คิดว่าจะเข้าไปช่วยในฐานะพลเมือง มองว่าถ้าเขาคิดว่านโยบายผมเป็นประโยชน์ ยินดีที่จะมอบแนวคิดนโยบาย สิ่งที่ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อกรุงเทพฯในการขับเคลื่อนประเทศในฐานะเมืองหลวงของประเทศผมก็ยินดีที่จะให้ข้อมูล และแนวคิดต่างๆ ได้ ยืนยันว่าถ้าจะไปรับตำแหน่งทางการเมือง เช่น ไปเป็นรองผู้ว่าฯกทม.คงเป็นไม่ได้ ถ้าแบบนั้นกลายเป็นว่าผมโกหกประชาชน ผมคงทำไม่ได้ แต่ในฐานะพลเมืองดีต้องให้ความร่วมมือทุกรัฐบาล เหมือนที่ผ่านมา ผมเคยเป็นที่ปรึกษาทุกรัฐบาล รัฐบาลไหนที่เชิญผม โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่เชิญผมเขามีความจริงใจที่ให้ได้ทำงานอิสระอย่างไม่มีประโยชน์อื่นแอบแฝง ผมก็ทำงานให้โดยไม่ได้หวังอะไร ดังนั้น ผลงานที่ผ่านมาขิองผมจึงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังตลอด เพราะผมไม่ติดยึดกับเรื่องตำแหน่งหน้าที่ เพียงแต่ว่าอยากทำงาน อยากทำตัวเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเท่านั้นเอง