ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแต่งตั้ง พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ก็เพื่อเข้ามาสะสางปมทุจริตเงินอุดหนุนวัด หรือ เงินทอนวัดที่ฝังรากลึก จากเครือข่ายอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมายาวนาน
การที่ศาลอนุมัติหมายจับและออกหมายค้นบ้าน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ และ นายพนม ศรศิลป์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเครือข่าย 14 จุด 7 จังหวัดทั่วประเทศ เป็นการแสดงให้เห็นถึงการตรวจสอบและสืบสวนการทุจริต ที่พบกระทำอย่างเป็นเครือข่าย
นายนพรัตน์ เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จากนั้นเติบโตตามลำดับ จนได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการกองพุทธศาสนา ปี 2546 และเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา ปี 2550 เป็นผู้ผลักดันโครงการพัฒนากิจการคณะสงฆ์ชายแดนใต้ ปี 2553 ทั้งการศึกษาพระปริยัติธรรม และอบรมพระธรรมทูต
ในระหว่างที่นายนพรัตน์ ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการ นายพนม ศรศิลป์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการกองพุทธศาสนศึกษา ก็เข้ามามีบทบาทและสืบทอดโครงการต่างๆ จนนายนพรัตน์ เกษียณอายุราชการ
เช่นเดียวกับนางประนอม คงพิกุล ผู้อำนวยการกองพุทธศาสนสถาน ที่ภายหลังขยับเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นอีกคนที่ตำรวจ ปปป. พบหลักฐานเชื่อมโยงการทุจริตกับเครือข่าย ซึ่งมีข้าราชการในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเกี่ยวข้องอีกหลายคน
กรณีทุจริตเงินทอนวัด สตง.เป็นผู้พบความผิดปกติตั้งแต่ก่อนปี 2555 และส่งเรื่องให้ตำรวจ ปปป.ตรวจสอบ เพราะที่ผ่านมาไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเท่าที่ควร แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าการทุจริตเงินทอนวัด จะอยู่ในช่วงการทำงานของกลุ่มบุคคลนี้ทั้งหมด
การแต่งตั้ง พ.ต.ท.พงศ์พร จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้ามาเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จึงถูกมองว่าได้รับมอบหมายให้เข้ามาสะสางปัญหาในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และนำไปสู่การย้ายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกว่า 10 คน
สำหรับความเสียหายที่ตำรวจ ปปป.พบจากการทุจริตเงินทอนวัดทั้วประเทศ ขณะนี้พบความเสียหายกว่า 200 ล้านบาท พบวัดเกี่ยวข้องกว่า 100 วัด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ครม.คืนตำแหน่ง ผอ.พศ. ให้ "พงศ์พร" แล้ว