น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ (เมี่ยง) ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทีมข่าวไทยพีบีเอส หลังจากสูญเสียน้องชายคนเดียวนานกว่า 5 เดือนแล้ว ในเหตุการณ์ที่นายภคพงค์ ตัญกาญจน์ หรือ “เมย” นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิต หลังจากเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนเตรียมทหารเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2561 ทีมข่าวนัดพบกันที่สถานที่แห่งหนึ่ง ใน จ.ชลบุรี “เมี่ยง” มาพร้อมเอกสารแฟ้มใหญ่ ซึ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์และคดีของน้องชายผู้จากไป ซึ่ง น.ส.สุพิชา เป็นคนต้นเรื่องและกำลังหลักของครอบครัว “ตัญกาญจน์” ที่รวบรวมข้อมูลเพื่อต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม
มาถึงวันนี้ ปัญหาอุปสรรคที่พบมีหรือไม่ อย่างไร
น.ส.สุพิชา : ความยากคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเกิดในโรงเรียน อยู่ในเขตของทหาร มันมีระบบ มีขั้นตอน ที่ทำให้ต้องใช้ระยะเวลานิดนึงแต่ส่วนตัวไม่ได้มองว่าทำให้เรื่องมันเดินช้า ขั้นตอนความยาก-ง่าย อยู่ที่ฝ่ายพนักงานสอบสวน (สภ.บ้านนา และ สภ.เมืองนครนายก) ที่เขาได้ไปเจอมากกว่า เพราะพนักงานสอบสวนเป็นคนกลางที่อยู่ระหว่างครอบครัวกับโรงเรียนเตรียมทหาร เท่าที่ทราบเขามีความยากตรงที่การขอเข้าพื้นที่, การเรียกเด็กหรือเรียกเจ้าหน้าที่สอบปากคำ, ความลำบากในการขอความร่วมมือกับทางโรงเรียน ที่ต้องมีระเบียบปฏิบัติ แต่ทางฝ่ายครอบครัวเราให้ความร่วมมือตลอด
พนักงานสอบสวนแจ้งหรือไม่ว่ามีความคืบหน้าอย่างไรบ้างแล้วหรือไม่ ในฐานะเป็นฝ่ายร้องทุกข์
น.ส.สุพิชา : เท่าที่ทราบ ได้สอบปากคำไปแล้วทางฝ่ายโรงเรียนเตรียมทหารประมาณ 40 ปาก เป็นกลุ่มนักเรียนเตรียมทหาร, กลุ่มแพทย์ที่รักษา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ที่น้องชายเสียชีวิต ส่วนฝ่ายครอบครัวได้ให้ปากคำเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับพฤติกรรมและรายละเอียดในช่วงที่เกิดเหตุที่น้องเมยใช้ชีวิตในโรงเรียนเตรียมทหาร ตั้งแต่ก่อนเสียชีวิต และช่วงที่เสียชีวิต รวมถึงภาพรวมเรื่องทั่วๆ ไป
ต้องให้ปากคำเพิ่มเติมเมื่อไหร่อีกหรือไม่ หรือ เจ้าหน้าที่แจ้งสรุปผลสอบหรือยัง
น.ส.สุพิชา : ฝ่ายของครอบครัวตอนนี้ยังไม่มี ซึ่งการสอบปากคำขณะนี้ เมี่ยงไม่แน่ใจว่า พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบปากคำครบถ้วนแล้วหรือไม่ เขาไม่ได้แจ้งให้ทางเราทราบ
น้องเมี่ยง เป็นกำลังหลักในการหาหลักฐานมาต่อสู้ แต่ครั้งนี้มีทีมทนายมาช่วยด้วยอย่างไร
น.ส.สุพิชา : ทีมทนายจะมาช่วยดูแลหลังจากครอบครัวได้รวบรวมข้อมูลเต็มที่ เพื่อช่วยดูเกี่ยวกับคำฟ้องที่ต้องเขียนเพื่อให้สำนวนแน่นขึ้น
มาถึงวันนี้ ในฐานะพี่สาวที่สูญเสียน้องชาย มองเหตุการณ์นี้อย่างไร เพราะกำลังเข้าภาคเรียนใหม่กลางปีนี้
น.ส.สุพิชา : มองว่าโรงเรียนต้องมองให้เห็นว่าปัญหาในโรงเรียนเกิดอะไรขึ้นและจะพัฒนาอย่างไร ซึ่งมาตรการลงโทษผู้ที่ทำผิดกฎของโรงเรียน มันต้องรุนแรงกว่ามาตรการแค่ “ปลด” หรือ “ตัดแต้ม” เพราะเท่าที่เป็นคนนอกและสังเกตเห็น พบว่าโทษแบบนั้นมันเบา แต่คุณบอกว่าถ้าโทษคือโดนปลดมันคือศักดิ์ศรีของคนๆหนึ่ง แต่เราเห็นว่าโทษแบบนี้ มันไม่ได้สะทกสะท้านกับคนที่ทำผิด ถ้าเขากลัวจริงหรือเสียศักดิ์ศรีจริงๆ เขาจะไม่กระทำผิดซ้ำอีก แต่นี่คือยังมีให้เห็นอยู่ คุณต้องพิจารณาโทษว่าแค่นี้มันยังไม่พอ
มองกับความเสี่ยงสำหรับปีนี้ อย่างไรหรือไม่
น.ส.สุพิชา : คดีน้องเมย เป็นหนึ่งในเคสที่ทำให้เห็นว่า อย่านะ.. อย่าทำแบบนี้ เพราะมันอาจเกิดการสูญเสียขึ้นได้อีก คุณต้องดูแลเด็กมากกว่านี้ คุณให้อำนาจเด็ก...เพื่อไปปกครองเด็กด้วยกัน คุณต้องเข้าไปดูไปคุมคนที่คุณให้อำนาจอีกที เพราะไม่เช่นนั้น เขาไม่สามารถคิดได้ว่า อะไรที่มันทำแล้วเกิน หรือพอดี หรือขาดไป
จนถึงขณะนี้ ทางกองทัพไทย ได้ส่งรายงานสรุปผลสอบสวนให้ครอบครัวแล้วหรือไม่ หลังจากแถลงเมื่อ ธ.ค.2560 และครอบครัวได้เข้าพบที่กรุงเทพฯ เมื่อ ม.ค.2561
น.ส.สุพิชา : ยังไม่ได้..ซึ่งผลสอบของกองทัพไทย ทางครอบครัวได้ทำหนังสือขอตั้งแต่วันที่ครอบครัวเดินทางมาพบกับคณะกรรมการสอบสวนฯ ที่กรุงเทพมหานคร แต่เขาบอกว่า ต้องขอพิจารณาก่อนและยังไม่สามารถให้ได้เพราะเป็นข้อมูลราชการ ทางเรามองว่าไม่เป็นไร แต่ก็ขอให้เขาช่วยเซ็นรับเอกสารไว้ และเราขอใช้สิทธิ์ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้เอกสารสรุปผลการสอบสวนฉบับทางการ
เรื่องสรุปผลการสอบสวนที่เป็นเอกสาร มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราขอ แต่เราขอครั้งแรกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 กับคณะกรรมการชุดแรกที่สอบสวน สำหรับเอกสารสรุปผลการสอบสวน แม้ไม่มีผลต่อคดีตามกฎหมาย แต่เราต้องการทราบรายละเอียดที่เป็นการสรุปผลสอบสวน เพราะมีนัยยะสำคัญถ้าเราได้มา ก็จะได้เห็นรายละเอียดช่วงระยะเวลา และบุคคลผู้เกี่ยวข้องชัดเจนในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่น้องเมยเสียชีวิต
ความคืบหน้าในคดีตอนนี้ล่าสุดเป็นอย่างไร เห็นว่าไปขึ้นศาล ที่ จ.ปราจีนบุรี
น.ส.สุพิชา : ไป จ.ปราจีนบุรี เพราะมีศาล มทบ. 12 เป็นพื้นที่รับผิดชอบ เมี่ยงไปมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ไปฟังว่าศาลจะรับฟัองหรือไม่ และอีกครั้งเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2561 เพื่อรอฟังจำเลยให้การ แต่ก็เลื่อนมาเป็นเมื่อ 2 วันก่อน แต่ทางจำเลยแจ้งว่า ไม่มีทนาย ศาลจึงพิจารณาให้เลื่อนอีกครั้ง และนัดครั้งถัดในเดือนพฤษภาคมนี้ คดีนี้เกี่ยวกับข้อหาทำร้ายร่างกายน้องเมย ซึ่งคดีของน้องเมย เราจะแยกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงที่น้องโดนทำร้าย ช่วงที่โดนธำรงวินัยในระหว่างมีคำสั่งแพทย์ให้ฟักฟื้น และช่วงที่น้องเมยเสียชีวิต
ถึงวันนี้ มีอะไรจะบอกสังคม หรือบอกใครหรือไม่
น.ส.สุพิชา : ขอบคุณคนที่ติดตามคดีนี้ อาจดูเหมือนเรื่องของเราจะเงียบไป และในสังคมมีข่าวเกิดขึ้นมากมายในแต่ละวัน แต่สำหรับครอบครัวเราไม่เคยมีการยอมความ ที่ผ่านมาฝ่ายกองทัพ หรือ เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีการเจรจาเพื่อขอยอมความ
สำหรับเหตุการณ์นี้ นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ “เมย” นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตปริศนา เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 หลังจากกลับเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เพียง 1 วัน ซึ่งแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้ชันสูตรศพ และระบุในใบรับรองการเสียชีวิตว่า เกิดจากหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ทำให้ครอบครัว นำร่างของ นายภคพงศ์ ผ่าพิสูจน์อีกครั้งที่ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ปรากฏว่า กระดูกซี่โครงหัก และพบว่าอวัยวะภายในร่างกาย ทั้ง หัวใจ กระเพาะ ตับ ปอด และสมอง หายไป ขณะที่ทางคณะกรรมการสอบสวนของกองทัพไทย แถลงว่า นายภคพงศ์เสียชีวิตเพราะหัวใจล้มเหลว ไม่ใช่ถูกซ้อม หรือทำร้ายร่างกายจนทำให้เสียชีวิต แต่ทางครอบครัวไม่เชื่อและนำไปสู่การตรวจสอบขณะนี้