ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางประทับรับฟ้องคดีที่อัยการยื่นฟ้อง อดีตพระพรหมดิลก อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และอดีตพระอรรถกิจโสภณ อดีตเลขาเจ้าคณะกรุงเทพ เป็นจำเลยในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และเป็นผู้สนับสนุนร่วมกันฟอกเงินอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรณีร่วมกันฟอกเงิน จากการทุจริตเงินทอนวัดในส่วนอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม โดยอดีตพระเถระทั้ง 2 ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เนื่องจากทั้ง 2 ไม่ได้ยื่นขอประกันตัว
นอกจากนี้ ศาลยังประทับรับฟ้องอดีตพระเถระอีก 5 คน คือ อดีตพระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร , อดีตพระศรีคุณาภรณ์ , อดีตพระครูสิริวิหารการ , อดีตพระวิจิตรธรรมาภรณ์ อดีตพระเมธีสุทธิกร และอดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส และฆราวาสอีก 3 คน คือ น.ส.นุชรา สิทธินอก แม่บ้านที่ร่วมรับโอนเงิน 25 ล้านบาท นายทวิช สังข์อยู่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ บริษัท ดีดีทวีคูณ ที่รับผลิตสื่อให้กับวัดสระเกศ และ น.ส.ฑัมม์พร นิพนธ์พิทยา มารดาของ ร.ท.ฐิติทัศน์ รวมเป็น 8 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน กรณีทุจริตเงินทอนวัด ในส่วนโครงการศูนย์กลางเผยแพร่พระพุทธศาสนา
สำหรับจำเลยทั้ง 8 คนนี้ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว ซึ่งศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่าพฤติการณ์กระทำความผิดของจำเลยกับพวก มีลักษณะร่วมกันกระทำความผิด เป็นขบวนการโดยแบ่งหน้าที่กันทำ ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน และความเสียหายเป็นเงินจำนวนสูง อีกทั้งยังเป็นการกระทบกระเทือนต่อพระพุทธศาสนา พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรงและความผิดตามฟ้อง มีอัตราโทษสูง หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวก็มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า จำเลยกับพวกจะหลบหนี
สำหรับความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินการทุจริตในคดีเงินทอนวัด ที่ผ่านมามีการฟ้องคดีเข้าสู่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง แล้ว 1 สำนวน คือกรณีอดีตพระครูกิตติ พัชรคุณ เจ้าคณะอำเภอชนแดน จ.เพชรบูรณ์ และเจ้าอาวาสวัดลาดแค กรณีร่วมกับ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สมคบกันฟอกเงินทอนวัดในเขต จ.เพชรบูรณ์ จ.นครสวรรค์ จ.ตาก และ จ.ชุมพร โดยชั้นฝากขังอดีตพระครูกิตติ ไม่ได้รับการประกันตัว แต่ได้ประกันตัวในชั้นพิจารณาคดี