วันนี้ (15 พ.ย.2562) นพ.อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกชาวสเปนติดเชื้อไวรัสโรคไข้เลือดออกในอสุจิผ่านการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย เป็นสายพันธุ์เดียวกับที่แพร่ระบาดในประเทศคิวบา ซึ่งทั้งคู่เคยไปมาก่อนหน้านี้ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีการติดเชื้อผ่านช่องทางการมีเพศสัมพันธ์ เช่นเดียวกับโรคติดเชื้อไวรัสซิกา ซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสกลุ่มเดียวกัน ทั้งนี้ ควรต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลต่อไป ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังไม่เคยมีรายงานการติดเชื้อผ่านช่องทางดังกล่าว
สำหรับการติดต่อของโรคไข้เลือดออก ในช่องทางหลักยังเป็นการถูกยุงลายกัด ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัด ซึ่งจะมีอาการไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีอาการปวดท้อง หรือท้องเสียร่วมด้วย ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เพราะยาบางชนิด เช่น ไอบรูโปรเฟน หรือแอสไพริน อาจทำให้เลือดออกในอวัยวะภายในได้ง่ายขึ้น ถ้ามีไข้สูงนานเกินสองวัน ควรรีบไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล และช่วงไข้ลด ถ้ามีอาการซึม เบื่ออาหาร ปวดท้อง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเร็วแต่เบา อาจมีเลือดไหลที่โพรงจมูก อาเจียนเป็นเลือด แสดงว่าเข้าสู่ภาวะช็อก ต้องรีบกลับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลให้ทันท่วงที เพราะอาจเสียชีวิตได้
สำหรับการป้องกันโรคไข้เลือดออก ควรเน้นไปที่การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ใช้มาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ดังนี้
- เก็บบ้านให้สะอาด เช่น พับเก็บเสื้อผ้าใส่ตู้หรือแขวนให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้มีมุมอับทึบเป็นที่เกาะพักของยุง
- เก็บขยะที่อยู่บริเวณรอบบ้าน เก็บขยะ เก็บภาชนะใส่อาหารหรือน้ำดื่มที่ทิ้งไว้ใส่ถุงดำ และนำไปทิ้งลงถังขยะ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
- เก็บน้ำ ภาชนะที่ใส่น้ำเพื่ออุปโภค บริโภค ต้องปิดฝาให้มิดชิด ล้างคว่ำภาชนะใส่น้ำ และเปลี่ยนน้ำในกระถางหรือแจกันทุกสัปดาห์ เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่ได้
ทั้งนี้ ให้เน้นการจัดการในพื้นที่ 7 ร.ได้แก่
- โรงเรือน บ้าน
- โรงเรียน
- โรงพยาบาล
- โรงแรม รีสอร์ท อุทยาน
- โรงธรรม วัด มัสยิด โบสถ์
- โรงงานอุตสาหกรรม เขตเศรษฐกิจพิเศษ
- สถานที่ราชการ
การจัดการกับยุงลายที่เป็นพาหะนำโรคติดต่อนำโดยแมลง จะสามารถป้องกันได้ 3 โรค คือ 1.โรคไข้เลือดออก 2.โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และ3.โรคไข้ปวดข้อยุงลาย