วันนี้ (17 เม.ย.2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กคณะก้าวหน้าแรงงาน จัดไลฟ์พูดคุยกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งปัจจุบันเป็นแกนนำคณะก้าวหน้า ในหัวข้อ "มองเศรษฐกิจไทย หลังภัย COVID -19" ตอนหนึ่งระบุว่า ได้เสนอแนะการจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาล ในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทั้งคุณภาพและปริมาณ ซึ่งขณะนี้กำลังมีปัญหาการเยียวยา และควรเน้นไปที่ประชาชนหาเช้ากินค่ำก่อน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ประเทศ
ชี้รัฐบาลจัดลำดับช่วยเหลือผิด
จากนั้นค่อยขยับมาสู่เอสเอ็มอี ชนชั้นกลาง แล้วค่อยไปช่วยเหลือกลุ่มทุนใหญ่ ซึ่งสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ไม่ได้ทำให้ทุนใหญ่ล้มละลายแน่ๆ อย่าง กรณีบริษัทขายสินค้าปลอดภาษีในสนามบิน สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายขนาดว่า ถ้าไม่ช่วยเหลือแล้วจะล้มละลาย นี่เป็นมายาคติ บริษัทเหล่านี้ แต่ละปีกำไรพันล้าน หมื่นล้าน ดังนั้น ขาดทุน 2-3 เดือนไม่พังแน่ๆ และที่สำคัญ บริษัทปลอดภาษีเหล่านี้ก็ไม่ได้จ้างงานคนมากมาย ความเสียหายจำกัดมาก ดังนั้น การจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบของรัฐบาลผิดมาก
คนจำนวนมากเข้าไม่ถึงการเยียวยาของรัฐ
นายธนาธรกล่าวว่า กรณีเงินเยียวยา 5,000 บาท วิเคราะห์ผู้มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือโดยเอไอ ไม่มีใครมั่นใจหรือรู้ว่าเอไอ เขียนข้อมูลอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรเปิดเผย ทั้งนี้สิ่งสำคัญคือ ถ้าใช้เอไอแบบนี้แล้ว ต้องใช้เวลากว่า 10 วัน ประชาชนจึงจะได้เงินก้อนแรก ถือว่าให้ความสำคัญผิดมากๆ เพราะจากที่่มีโอกาสไปพูดคุยกับคนในชุมชนแห่งหนึ่ง สิ่งที่ได้ยินมาคือ พวกเขาไม่มีจะกินแล้ว ในชุมชนส่วนใหญ่ 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้อยู่ในระบบประกันตน แต่ก็ไม่ได้รับการเยียวยาจากรัฐ
ในชุมชนนี้แทบทั้งหมดมีอาชีพเกี่ยวเนื่องกันกับการร้อยพวงมาลัยขาย เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจที่เรามองไม่เห็น ซึ่งพอมีการเคอร์ฟิว ได้รับผลกระทบ ระบบงานพังลง
คนกลุ่มนี้ไม่มีแม้แต่จะกินข้าว ดังนั้นจึงพร้อมที่จะยอมออกไปค้าขายปกติ แม้จะเสี่ยงกับการติดไวรัส ดีกว่าจะอยู่แล้วอดตายอย่างนี้ เพราะไม่ได้รับการเยียวยา พวกเขาลำบากจริงๆ แต่มาตรการช่วยเหลือของรัฐก็ไปไม่ถึง มีแต่มาตรการบอกให้เขาอยู่บ้าน แล้วไม่บอกเลยว่าจะเยียวยาอย่างไร
นายธนาธรกล่าวต่อว่า เรื่องไวรัส แพร่ระบาดไม่เลือกชนชั้น ทุกคนมีสิทธิติดเชื้อได้เหมือนกันหมด แต่เรื่องที่เกี่ยวกับชนชั้นคือปัญหานี้่ส่งผลกับคนแต่ละชนชั้นแตกต่างกันไป คนที่มีรายได้สูง บ้านมีพื้นที่กักบริเวณก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่คนอยู่ในห้อง 3-5 ตารางเมตร อยู่กัน 5 คน ลดค่าไฟเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ ไม่ช่วยอะไรเลย และถูกบังคับให้อยู่บ้านขายของไม่ได้ ไม่มีรายได้
แนะ 2 ทางเลือกแก้ปัญหา
นายธนาธรกล่าวว่า รัฐบาลมีทางเลือก 2 ทางเกี่ยวกับการช่วยเหลือ คือ ทางเลือกแรก ถ้ายังเป็นมาตรการ เซมิ-ล็อกดาวน์ หรือกึ่งเปิดกึ่งปิดแบบขณะนี้ต่อไป จำเป็นต้องเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยอัดเม็ดเงินเข้าไปในระบบเพื่อช่วยพยุงซึ่งจะใช้น้อยกว่าการปล่อยพังแล้วอัดเข้าไป
เพราะการจะดึงความเชื่อมั่นกลับมา ดึงนักลงทุนกลับมา เกิดการจ้างงาน เกิดการบริโภคอีกครั้งยากมาก ดังนั้น ต้องยอมเสียเงินพยุงดีกว่าปล่อยให้พัง เพราะถ้าดูแลตอนนี้ คนจะอดตายก่อนจะตายเพราะติดเชื้อ
สำหรับทางเลือกที่ 2.คือ คลาย-ล็อก-คลาย-ล็อก สลับกันไป ทั้งนี้ ถ้าจำได้ตอนไวรัสเริ่มใหม่ๆ ในคลื่นลูกแรกนั้นทำทุกคนเป๋ เพราะไม่ได้เตรียมรับมือ จึงเกิดเซมิ-ล็อกดาวน์ กราฟผู้ป่วยคนตายลดลงแต่คนจะอดตาย
ดังนั้นถ้าคลายแน่นอนว่ากราฟอาจจะกลับขึ้นไป จึงต้องล็อกซึ่งในช่วงล็อกนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องเตรียมความพร้อมประเทศ ด้านสาธารณสุข เรื่องดูแล คนเข้ามาเมือง การสอบทานคนติดเชื้อ ซึ่งต้องทำ เพื่อให้การคลายครั้งต่อไปจะมีทุกอย่างพร้อมรับมือดูแลได้
สำหรับคำแนะนำผู้ประกอบธุรกิจ มองว่าต้นทุนคงที่ เช่น ค่าเช่าสำนักงาน เงินเดือนพนักงาน ค่าบำรุงรักษาเครื่องจักรสำหรับการอยู่ได้ ควรคิดไว้ 6 เดือน ซึ่งไม่ว่าเราจะเลือกปฏิบัติการแบบไหน จะเป็นแบบแรกหรือแบบหลัง อาจต้องมองต้นทุน 6 เดือนนี้ ซึ่งในไตรมาสที่ 4 อาจจะกลับมาได้ แต่ทว่า ถ้าเรายังใช้กึ่งเปิดกึ่งปิดแบบนี้ แล้วไม่มีเยียวยา หรือยังเป็นการเยียวยาแบบที่เป็นอยู่ เชื่อว่าตายทั้งประเทศ การช่วยเหลือเยียวยาตอนนี้ เห็นว่าต้องดึงสวัสดิการทุกก้อนร่วมกัน แล้วจ่ายออกไปแบบถ้วนหน้า