วันนี้ (18 ก.พ.64) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย กล่าวถึงกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในหลายประเด็น โดยเฉพาะกรณีที่ฝ่ายค้านชี้ว่า รัฐบาลตอบไม่ตรงคำถามทั้งเรื่องค่าน้ำ-ค่าไฟ บ้านพักรับรอง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกรณีเหมืองทองอัครา โดยพร้อมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงเพิ่มเติม
นายวิษณุ ยืนยันข้อมูลปรากฎชัดในคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ซึ่งมีระเบียบของกองทัพบกกำหนดไว้ โดยเฉพาะระเบียบว่าด้วยค่าน้ำ - ค่าไฟ แม้กรณีซ่อมแซมบ้านหลวงจะออกค่าใช้จ่ายให้ซึ่งกรณีที่นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.พรรคก้าวไกล อ้างคำพิพากษาศาลฎีกานั้นมีจริงแต่เป็นกรณีการเช่าบ้านเอกชน หากใช้น้ำไฟหลวงต้องจ่ายเป็นภาษี คนละกรณีกับบ้านพักรับรองหลวง
ส่วนเรื่องเหมือนทองอัคราที่ฝ่ายค้านชี้ว่ารัฐบาลนำผลประโยชน์ของชาติไปแลกกับการถอนฟ้อง นายวิษณุอธิบายว่า เรื่องนี้อยู่ระหว่างเจรจาจึงไม่สามารถพูดอะไรได้มากและยังคงมีการเจรจาอยู่ซึ่งอนุญาโตตุลาการให้คำแนะนำไว้ตั้งแต่ เดือน ก.พ.63 โดย บ.คิงส์เกต ก็พร้อมเจรจาและเดินหน้าด้วยดี
นายวิษณุ ยังย้ำว่า กรณีข่าวออกมาว่า มีคำวินิจฉัยว่ามีใครชนะใครแพ้ จ่ายเงินกี่บาทกี่พันกี่แสนนั้น เป็นเฟกนิวส์ เพราะบาทเดียวรัฐบาลก็ยังไม่เคยจ่าย แต่อาจจ่ายเพียงค่าทนายเจรจาของแต่ละฝ่ายเท่านั้น ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเจรจาและผลเป็นอย่างไรก็จะต้องรายงานให้รัฐบาลทราบซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการรายงาน ขณะเดียวกันต่อไปต้องรายงานให้อนุญาโตตุลาการทดสอบด้วยเช่นกัน
ขณะนี้รัฐบาลยังไม่เกิดความเสียหายกับกรณีดังกล่าวเฉกเช่นคดีโฮปเวลล์ ซึ่งตามกฎหมาย คือ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ปี 2539 มี 2 มาตรา ซึ่งมาตรา 9 กำหนดให้มีอายุความ 1 ปี เช่น กรณีเจ้าหน้าที่รัฐถูกประชาชนฟ้องแล้วรัฐเป็นผู้จ่ายค่าเสียหายให้รัฐไปเก็บกับเจ้าหน้าที่ต้นเหตุซึ่งนับอายุความตั้งแต่จ่ายและเมื่อยังไม่ได้จ่ายค่าเสียหายจึงยังไม่นับอายุความ แต่มาตรา 10 อายุความ 2 ปี หมายความว่าเจ้าหน้าที่ละเมิดต่อรัฐ เช่น คนของกระทรวงเอารถหลวงไปใช้และชน เจ้าหน้าที่ของรัฐถือเป็นคนทำละเมิดต่อรัฐและรัฐจะฟ้องเจ้าหน้าที่นั้นมีอายุความ 2 ปี
ดังนั้น กรณีโฮปเวลล์อยู่ในข่ายมาตรา 9 ซึ่งยังไม่ได่จ่ายแต่การที่รัฐจ่ายช้าเป็นความเสียหายอย่างหนึ่งเพราะทั้งศาลและอนุญาโตตุลาการก็ตัดสินไว้แล้ว ซึ่งดอกเบี้ยเดินไปวันละ 2 ล้านบาททุกวัน ซึ่งกระทรวงคมนาคมเห็นว่ายังไม่สมควรที่จะจ่ายโดยจะหาทางต่อสู้คดีจนถึงที่สุด เพราะเชื่อว่ายังมีโอกาสชนะ
ขณะที่กรณีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไปตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงก็ถือว่าดำเนินการถูกต้อง ซึ่งหากไม่สอบไว้ก่อนจะไม่ทันหากท้ายที่สุดแล้วจะต้องมีการจ่ายดอกเบี้ยปรับ ยอมรับว่าดอกเบี้ยยังเดินอยู่ระหว่างการต่อสู้คดี แต่หากไปถึงจุดหนึ่งหากรัฐพร้อมจ่ายและมีการเจรจาก็อาจจะเจรจากันได้ก็จะมีทางออกเพราะการเจรจา "กำขี้ดีกว่ากำตด" เชื่อคุยกันได้ทางบริษัทแบะท่ามาตลอดพร้อมเจรจา