วันนี้ (19 ต.ค.2564) จากกรณีที่มีประชาชนหลายคนเจอปัญหาจากแอปฯ ที่มีการผูกกับบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต และบัตรเดบิต ที่พบยอดเงินถูกหักโดยไม่ทราบสาเหตุ
น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคมและดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กมธ.ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้ จะนำประเด็นดังกล่าวหารือในที่ประชุม กมธ.
เพื่อขออนุมัติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือสมาคมธนาคารไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงรายละเอียดในการประชุมครั้งถัดไป
เพื่อต้องการทราบว่าตามระเบียบหรือกฎที่เกี่ยวข้องสามารถปกป้องหรืออุดช่องว่างไม่ให้ประชาชนถูกเอาเปรียบหรือถูกหลอกลวงจากกลุ่มมิจฉาชีพได้หรือไม่ และหากมีช่องโหว่จะปรับปรุงกติกาอย่างไรได้บ้าง เพื่อไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ และในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หากประชาชนยังถูกหลอกด้วยเทคโนโลยีอีกเท่ากับถูกซ้ำเติม
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก รวมถึงกระทบกับประชาชนจำนวนมาก และมีผู้ที่ร้องเรียนให้หน่วยงาน และสื่อมวลชนช่วยตรวจสอบ
น.ส.กัลยา กล่าวว่า กมธ.ดีอีเอส ไม่ต้องการให้เกิดการหลอกลวงผ่านเทคโนโลยีขยายวงกว้าง ซึ่งการใช้แอปพลิเคชันที่ผูกกับบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต แม้ว่าจะสามารถหักเงินจากบัญชีเจ้าของได้โดยตรง แต่ควรมีรายละเอียดที่เจ้าของบัตรต้องอนุมัติก่อน ไม่ใช่ถูกหักไปโดยไม่รู้ตัว
ด้าน พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย และรองประธาน กมธ.ดีอีเอส กล่าวว่า เรื่องทำนองเคยเกิดขึ้นมาแล้ว แน่นอนว่าเรามีระบบป้องกัน แต่ต้องยอมรับว่าการป้องกันไม่สามารถทำได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเทคโนโลยีและรูปแบบการโกงจะพัฒนาไปเรื่อยๆ
ซึ่งองค์กรที่ดูแลเงินก็พยายามที่จะพัฒนาระบบป้องกันอยู่ตลอดเช่นกัน แต่เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญคือการคืนเงินให้เร็วที่สุดควรพิจารณาเป็นอันดับแรก ต้องลดทอนความเสียหายของประชาชนให้เร็วที่สุด
ส่วนการร้องเรียนของประชาชนจะต้องทำให้จบได้ในจุดเดียว ต้องมีหน่วยงานที่ชัดเจนในการรับเรื่อง ซึ่งจะต้องบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาทำงานร่วมกัน ไม่ต้องให้ประชาชนวิ่งไปแจ้งตำรวจแล้วต้องไปธนาคารแห่งประเทศไทย แล้วต้องไปธนาคารที่มีบัญชี
ทั้งนี้ ที่เป็นอย่างนี้ เนื่องจากเรายังไม่มีแผนบริหารจัดการปัญหาที่รวบทุกหน่วยงานเข้าไว้ด้วยกัน สิ่งที่ควารจะเกิดขึ้นคือ เมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ประชาชนสามารถขึ้นสถานีตำรวจแจ้งความเพียงครั้งเดียวแล้วกลับบ้าน
ส่วนที่เหลือจะเป็นการจัดการภายในที่ภาครัฐจะประสานข้อมูลกันเอง เมื่อรับแจ้งความแล้วจะใช้เวลากี่ชั่วโมง กี่วัน ต้องแจ้งให้ประชาชนทราบแล้วต้องทำให้ได้ตามนั้น
ปัญหาที่เราแก้ไม่ตกคือ เรามีหน่วยงานเต็มไปหมดที่จะทำเรื่องนี้ แต่ละส่วนทำอย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่ปล่อยให้ประชาชนเดินเรื่องเอง มันไม่เวิร์ก
พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าวว่า เราต้องมีกลไกที่จะทำให้เมื่อประชาชนแจ้งว่าถูกหลอกลวงแล้ว ต้องไปหยุดการเอาเงินออกจากบัญชีให้เร็วที่สุด ภายในไม่กี่ชั่วโมงทำได้หรือไม่ แนวทางนี้เหมือนไม้เสียบลูกชิ้น ที่หน่วยงานต่างๆ คือลูกชิ้นที่กระจัดกระจายอยู่
เราต้องเอาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐและเอกชนมาเสียบอยู่ในไม้เดียวกัน เช่น กสทช. ก.ดีอีเอส สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการมือถือ ธปท. ตำรวจ ปอท. ฯลฯ แล้วทำงานประสานกัน เพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด
อ่านข่าวเพิ่มเติม
ตร.ระบุเลิกใช้ OTP ขณะทำธุรกรรม เปิดช่องมิจฉาชีพดูดเงินผ่านแอปฯ
"ชัยวุฒิ" เสนอออก ก.ม.กำหนดยืนยันตัวตน Two Factor หักบัญชีออนไลน์
เช็กเงินในบัญชีหรือยัง? ตำรวจแนะนำป้องกันเงินล่องหน