และแล้ว บรรยากาศ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 ที่เงียบ เหงามานานกว่า 17 ปีก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกรอบ เป็นวันที่ 3 ที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พักโทษตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ จากการเฝ้าติตามบรรยากาศบริเวณทางเข้าบ้านไม่พบรถของบุคคลสำคัญเดินทางเข้าในบ้าน
มีเพียงรถตู้จากกรมควบคุมประพฤติ ขับเข้ามาในบริเวณบ้านจันทร์ส่องหล้า แต่ไม่ได้มีบุคคลลงมาจากรถ หรือเข้าไปในบ้าน เพียงแต่ขับเข้ามาวนและออกไปปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 71 และรถยนต์ของคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ที่วิ่งเข้า-ออก
บ้านจันทร์ส่องหล้า
แต่วันพรุ่งนี้ ( 21 ก.พ.2567) ความเคลื่อนไหวของศูนย์กลางอำนาจทางการเมือง ที่ไม่ใช่ทำเนียบรัฐบาล น่าจะกลับมาคึกคักพอสมควร เมื่อสมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน หรือสมเด็จฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะเป็น “แขกแก้ว” คนแรกที่ได้มาเยือนคฤหาสน์ “จันทร์ส่องหล้า”
ตามกำหนดการ สมเด็จฮุน เซน จะมาถึงไทยเวลา 10.30 น. เพื่อเข้าเยี่ยมทักษิณ และหากเป็นไปตามกำหนดเดินทางกลับ 14.00 น. คาดว่า บุคคลทั้งสอง อาจจะมีเวลาในการรับประทานมื้อเที่ยง และสนทนาปราศรัยกันไม่ต่ำกว่า 3-4 ชั่วโมง
อ่านข่าว วิกฤตป่วย "ทักษิณ" 180 วัน ตั้งแต่กลับไทยถึงพักโทษ
ภาพ
วิกฤตจริงหรือไม่ ไม่มีใครทราบได้ แต่หากดูจากอาการป่วยที่ “บรู๊ค”ดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ ฐานะโฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาแถลง โดยระบุว่า “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมายืนยันว่า “ทักษิณ” ป่วยจริง ด้วยโรคกระดูกคอเสื่อมและเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย ต้องใส่ที่คล้องแขน
โดยในส่วนของคอที่ต้องดาม เกิดจากโรคกระดูกคอเสื่อม ซึ่งผลจากการตรวจละเอียดหรือเอ็มอาร์ไอที่ รพ.ตำรวจ ซึ่งทางโรงพยาบาลแนะนำให้เข้ารับการผ่าตัด ซึ่งเป็นไปตามวัย และที่ต้องคล้องแขนออกมา เพราะเป็นโรคเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย ต้องได้รับการกายภาพไม่ต่ำกว่า 1 ปี จึงจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่เกิดกับผู้สูงอายุ จึงทำให้หายช้า เพราะตลอด 6 เดือนที่อยู่ รพ.ตำรวจ แทบไม่สามารถออกกำลังกายได้เลย ร่างกายจึงร่วงโรยเร็วกว่าคนที่ออกกำลังกายได้ตามปกติ
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
อ่านข่าว นายกฯ โชว์ผลงาน 6 เดือน ทั้ง "ฟรีวีซา-แก้หนี้-ดึงดูดนักลงทุน" ช่วยยกระดับชีวิต
สำหรับคนที่รักทักษิณ อย่างไรเสียก็ต้องว่า ตามกันอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ “เดอะแจ๊ค” วัชระ เพชรทอง อดีตสส.ปชป.ที่ยังคงเดินสายร้อง สำนักงานอัยการสูงสุดถึงอัยการสูงสุด ให้สอบวินัยและจริยธรรม นายปรีชา สุดสงวน อธิบดีอัยการ ที่ออกมาพูดปกป้องทักษิณความว่า “ สภาพท่าน (ทักษิณ) ตามที่เห็นผมว่าป่วยขั้นวิกฤตเลย นั่งวีลแชร์มา ผมนั่งคุยกับท่านไม่มีมีเสียงเลยสภาพดูแล้วป่วยจริง ๆ จะเดินไม่ไหว” ให้พ้นหน้าที่จากการดูแลคดี โดยบอกว่า เป็นการกระทำที่ไม่เป็นกลาง ส่อพฤติกรรมด้วยวาจาว่า คุ้มครองปกป้องผู้ต้องหา ทั้งที่ไม่ได้จบแพทย์
“เดอะแจ๊ค” วัชระ ย้ำว่า คำว่า “วิกฤต” ในทางการแพทย์หมายถึง กำลังจะเสียชีวิต รู้ได้อย่างไรว่าผู้ต้องหากำลังจะเสียชีวิต ควรพูดในนามความเห็นส่วนตัว นี้เป็นการผิดประมวลจริยธรรมข้าราชการฝ่ายอัยการและบุคลากรของสำนักงานอัยการสูงสุด และแบบแผนธรรมเนียมการปฏิบัติของอัยการที่ผ่านมาหรือไม่ เพราะสำนักงานอัยการสูงสุดไม่ใช่อัยการของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หน้าที่ของท่านคือ อัยการของแผ่นดิน
นายวัชระ เพชรทอง
ได้ฉายาใหม่ “ทวี หนีเก่ง” หลัง“บิ๊กวี” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้ให้สัญญากับสื่อว่าจะให้สัมภาษณ์ช่วงขาลง เรื่องของนายทักษิณ แต่ปรากฏว่า ทันทีที่คณะรัฐมนตรีเลิกประชุม ผู้ติดตามของ “บิ๊กวี” มายืนทำท่ารอ รัฐมนตรี ทั้ง 2 ประตู สื่อจึงได้กระจายกำลังดักทั้งสองทาง
รถยนต์ของ “บิ๊กวี” วิ่งวนอยู่หลายรอบ ออกจากทำเนียบรัฐบาล ไปทางตึกภักดีบดินทร์ สื่อมวลชนจึงวิ่งตามรถประจำตำแหน่งไป ไม่ปรากฎ ว่ามีใครขึ้นรถกลับ แต่เมื่อกลับมายังตึกบัญชาการ 2 พบว่า “บิ๊กวี” ออกจากทำเนียบรัฐบาลไปแล้ว
แต่ยังไงก็ไม่พ้น เมื่อ “บิ๊กวี “พ.ต.อ.ทวี จนมุม ต้องออกมายืนยันเงื่อนไขคุมประพฤติ ทักษิณ ว่า ไม่ต่างจากผู้ได้รับการพักโทษอีก 400,000 คน และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เดียวกันที่ได้กำหนดมาตั้งแต่ปี 2546 ไม่มีใครได้รับสิทธิประโยชน์เป็นพิเศษ
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม
แต่สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป และคนเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการก็จะมีหลักเกณฑ์โดยเฉพาะ เพราะมองว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้อยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิต ต้องการอยู่กับครอบครัวและบุคคลที่รัก มีโอกาสหลบหนี หรือก่อเหตุร้ายในสังคมได้น้อยกว่า
แต่มีเงื่อนไข คือ ระหว่างการพักโทษทักษิณไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศหรือนอกพื้นที่ได้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่ดูแล และไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือมีตำแหน่งในบริษัท (บอร์ด) อื่นๆได้ แต่บุคคลภายนอกสามารถเข้าไปพบปะได้ตามปกติ แต่หากครบกำหนดพ้นโทษหลังเดือนสิงหาคมนี้ ก็มีสิทธิ์เหมือนกับประชาชนทั่วไป
ตบท้าย ขวัญใจผู้สูงอายุ “ท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เดินหน้าโครงการ"อุ่นใจไซเบอร์" ป้องกันผู้อายุถูกหลอกจากมิจฉาชีพ ในวันศุกร์ ( 23 ก.พ.)นี้ พม. จะร่วมกับกรมสุขภาพจิตและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และบริษัทมือถือ จัดทำโครงการ"อุ่นใจไซเบอร์" ให้ความรู้ผู้สูงอายุ ซึ่งมีจำนวน 12.5-13 ล้านคน
และแต่ละคน มีโอกาสที่จะเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือมิจฉาชีพต่างๆที่จะมาในรูปแบบต่างๆ ผ่านมือถือและ Application จากข้อมูลพบว่า ในปี 2566 มีผู้สูงอายุที่ได้รับผลกระทบจากการหลอกลวงคิดไปมูลค่าความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท
และ ร้อยละ 20 ได้รับผลกระทบจากมิจฉาชีพ เฉพาะการหลอกลวงซื้อสินค้าคิดเป็นมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท การหลอกโอนเงินทำงานประมาณ 6,000 ล้านบาท หลอกกู้เงิน ประมาณ 1,900-2,000 ล้านบาท หลอกให้ลงทุน ประมาณ 17,000 ล้าน มีการข่มขู่ทางโทรศัพท์ ประมาณ 6,000 ล้านบาท
ท่ามกลางข้อกังขา และปริศนา ทักษิณ ป่วยจริงหรือไม่ อีกไม่นานคงจะได้คำตอบ แต่ที่แน่ๆคือ ทำเนียบรัฐบาล อาจจะไม่ใช่ศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยอีกต่อไปแล้ว และการที่ฮุนเซนบินมาเยี่ยมอาการป่วยของทักษิณถึงบ้านพัก คงอธิบายภาพได้ชัด
อ่านข่าวอื่นๆ
ครม.แต่งตั้งโยกย้าย 10 บิ๊ก มท. "สยาม" อธิบดี พช. - "ชัยวัฒน์" ผู้ว่าฯโคราช